เถียงไม่ได้เลยว่าลูกค้าในยุคปัจจุบันต่างก็รักในความสะดวกสบาย ซึ่งนั่นก็ทำให้การขายของออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่รู้ไหมว่าแค่มีเว็บไซต์ดีไซน์สวย ใช้งานง่าย หรือว่าการตลาดดี บางทีก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จของร้านค้าออนไลน์
นั่นก็เพราะว่า หากร้านขายของออนไลน์ของคุณสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่ไม่สามารถส่งของให้ลูกค้าทันเวลา หรือต้องให้ลูกค้ามาทวงเรื่องส่งพัสดุสินค้าอยู่บ่อย ๆ ลูกค้าของคุณก็อาจจะไม่กลับมาซื้อสินค้าที่ร้านของคุณอีกหรือยกเลิกสินค้าและขอเงินคืนเลยก็ได้ ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ลูกค้าหายหน้า ลองนำ 6 เทคนิคส่งพัสดุที่จะทำให้ลูกค้าของคุณปลื้มจนต้องกลับมาช้อปออนไลน์ที่ร้านของคุณอีกดู
1. แจ้งเวลาตัดรอบ
ภาพจาก Unsplash
หลังจากสั่งซื้อของออนไลน์แล้ว ลูกค้าก็อยากได้ของทันทีกันทั้งนั้น ดังนั้นคุณจึงต้องระบุบนเว็บไซต์หรือแจ้งบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ อย่างเฟสบุ๊คและไอจีอย่างชัดเจน บอกเลยว่าร้านของคุณตัดรอบและเตรียมจัดส่งพัสดุเมื่อไหร่ ตัดรอบกี่โมง ส่งกี่ครั้งต่ออาทิตย์ หรือถ้าส่งทุกวันจะจัดส่งสินค้าเวลาไหนบ้าง เช่น คุณสามารถบอกได้เลยว่า ถ้าลูกค้าแจ้งโอนก่อน 10:00 น. ทางร้านจะจัดส่งสินค้าก่อน 17:00 น. พอมีข้อมูลที่ชัดเจนแบบนี้ก็จะสบายใจทั้งฝั่งคนขายและคนซื้อ
2. ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าต้องไม่นานเกินไป
ภาพจาก Pixabay
ถ้าไม่อยากให้ลูกค้ารอของอย่างไร้จุดหมายคุณควรแจ้งลูกค้าตอนจ่ายเงินด้วยว่า พัสดุสินค้าจะจัดส่งถึงมือลูกค้าเมื่อไหร่ ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ลูกค้าสบายใจเวลารอทางร้านส่งของก็คือ ระบุจำนวนวันในการจัดส่งสินค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าวันไหนของจะมาถึง และระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าที่นานที่สุดก็ไม่น่าจะเกิน 4-5 วัน แล้วที่เร็วที่สุดก็คือจัดส่งสินค้าในวันเดียวกัน ดังนั้นระยะเวลาในการจัดส่งสินค้าของคุณจึงไม่ควรนานเกินไทม์ไลน์นี้
3. ผิดพลาดน้อยที่สุด
ภาพจาก Pixabay
ในการส่งของให้ลูกค้า คุณควรให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด ควรมีการจัดส่งแค่ครั้งเดียว ลูกค้าไม่ควรต้องเจอปัญหารูปสินค้าไม่ตรงปกจนต้องส่งกลับ หรือมีปัญหาเรื่องอื่นจนจ้องส่งของกลับไปมาระหว่างร้านและลูกค้าเอง เพราะฉะนั้นควรแสดงรูปสินค้าจริงและระบุรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจน ทั้งไซซ์ สี วัสดุที่ใช้ในการผลิต เมื่อลูกค้าได้รับพัสดุจะได้ประทับใจในสินค้าของร้านและไม่ต้องมานั่งเสียเวลาส่งของกลับไปกลับมาเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างร้านและลูกค้านั่นเอง จำไว้ว่าเมื่อมีการผิดพลาดในการส่งพัสดุ ทางร้านต้องเป็นคนรับชอบอยู่แล้ว ดังนั้นควรระวังให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายของร้านและลดปัญหาปวดหัวของร้านกับลูกค้า
4. ส่งข้อมูลการติดตามสินค้าให้ลูกค้า
ส่งข้อมูลการแทร็ค (track) ให้ลูกค้าได้ติดตามพัสดุสินค้าผ่านอีเมลหรือ SMS ก็ได้ สามารถส่งได้ทั้งลิ้งค์, tracking number และบาร์โค้ดเพื่อให้ลูกค้าได้ติดตามสถานะการจัดส่งสินค้าได้ด้วยตัวเอง แต่ที่สะดวกไปกว่านั้นคุณสามารถแจ้งเตือนลูกค้าก่อนสินค้าจะถูกจัดส่ง หรือถ้าเลือกบริษัทในการจัดส่งที่ดีและเชื่อถือได้ พนักงานส่งสินค้าก็จะโทรหาลูกค้าทุกครั้งเพื่อถามถึงความสะดวกลูกค้า ช่วยให้ลูกค้าได้เตรียมตัว เป็นการลดความยุ่งยากให้กับคนซื้อและคนขายได้เป็นอย่างดีในปัจจุบัน
5. เลือกบริษัทขนส่งสินค้าที่วางใจได้
ในไทยของเรามีโลจิสติกส์หรือบริษัทจัดส่งพัสดุหลายเจ้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับร้านค้าออนไลน์เช่นคุณ ซึ่งก็มีทั้งของรัฐและเอกชน ได้แก่ ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, Ninja Van, SCG Express, TNT, DHL, LINE Man และ Lalamove เป็นต้น ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีจุดอ่อนจุดแข็งกับค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งก่อนจะตัดสินใจเลือกต้องเปรียบเทียบบริษัทขนส่งสินค้าแต่ละเจ้าให้ดีก่อน จากนั้นก็ค่อยเลือกบริษัทที่คุณมั่นใจ คุณจึงจะดำเนินธุรกิจและขายของได้สบายใจขึ้น
6. แพ็คพัสดุสินค้าอย่างดี
ภาพจาก Pixabay
เมื่อเทียบค่าจัดส่งพัสดุแต่ละเจ้าแล้ว คุณจะต้องมั่นใจว่าสินค้าจะส่งถึงมือลูกค้าในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ดังนั้นคุณจึงควรแพ็คหรือห่อพัสดุอย่างระมัดระวัง เช่น ห่อบับเบิ้ลกันกระแทกสำหรับสินค้าที่แตกหักง่ายและติดเทปให้เรียบร้อย เลือกขนาดกล่องพัสดุที่พอดีกับสินค้าและห่อให้เหลือช่องว่างในกล่องน้อยที่สุดเพื่อไม่ให้สินค้าเสียหาย แต่ถ้าเป็นสินค้าอย่างเสื้อผ้าแฟชั่นก็สามารถแพ็คใส่ซองพัสดุที่แข็งแรงได้
สรุป
เทคนิคการจัดส่งพัสดุเหล่านี้จะช่วยให้สินค้าส่งถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์แบบและช่วยให้ลูกค้าน่าประทับใจยิ่งขึ้น ลองคิดดูว่าถ้าลูกค้าถูกใจสินค้าของคุณแล้วร้านจัดส่งสินค้านั้นได้เร็วทัน พวกเขาจะปลื้มใจมากแค่ไหน เท่านี้ลูกค้าก็จะกลับมาช้อปที่ร้านของคุณต่ออีกแน่นอน เผลอ ๆ ลูกค้าแชร์ในโลกโซเชียลช่วยโปรโมทร้านให้คุณแบบฟรี ๆ อีกด้วยนะ หรือหากใครมีเทคนิคการจัดส่งพัสดุเด็ด ๆ ก็สามารถแชร์กับเราได้เลย !