ร้านเสริมสวย กิจการยอดนิยมของคนไทยที่ทำเงินได้ทุกช่วง ซึ่งหากคุณมีทักษะทางนี้หรือมีใจรักที่จะเปิดร้านเสริมสวย บอกเลยว่ามาถูกทางแล้ว!
และวันนี้เราก็มีเกร็ดความรู้และเทคนิคการเปิดร้านเสริมสวยที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จง่าย ๆ มาฝาก
แต่ก่อนอื่นเลย . . .
ร้านเสริมสวยคืออะไร?
ร้านเสริมสวย คือ ร้านแต่งหล่อและเสริมความสวยงาม ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดียิ่งขึ้น ถือเป็นธุรกิจบริการขนาดเล็กที่เป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะใช้ต้นทุนในการเปิดไม่สูงมาก แต่ต้องเน้นเรื่องฝีมือและความประณีต อีกอย่างทางร้านมีรายได้ทุกวันและได้หยิบจับเงินสดอยู่เรื่อย ๆ ร้านเสริมสวยจึงได้รับความนิยมและอยู่คู่ทุกชุมชนมาช้านาน
ธุรกิจร้านเสริมสวยมีแบบอะไรบ้าง?
ร้านเสริมสวยมีหลายแบบด้วยกัน เช่น
- บาร์เบอร์ – ร้านตัดผมชาย มีบริการตัดผม, โกนหนวด, สระ, ไดร์, ทำสี, แคะหู, ล้างหู ฯลฯ
- ซาลอน – ร้านตัดผมผู้หญิง มีบริการตัดผม, สระ, ไดร์, ย้อมผม, ยืดผม, ดัดผม, อบไอน้ำ ฯลฯ
นอกจากนี้ก็ยังมีบางร้านที่มีบริการเสริม เช่น นวดหน้า, ขัดหน้า, แต่งหน้า และทำเล็บ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญและแผนการทำธุรกิจร้านเสริมสวยของคุณเอง ถ้ามีงบน้อยก็อาจจะเริ่มทำแค่ผมก่อน แต่ถ้ามีงบเยอะและหุ้นส่วนลงทุนก็เปิดร้านเสริมสวยครบวงจรไปเลย
เปิดร้านเสริมสวยแล้วดียังไง?
ภาพโดย Atikah Akhtar จาก Unsplash
หากคุณกำลังลังเลอยู่ว่าจะเปิดร้านเสริมสวยเล็ก ๆ เป็นของคุณเองดีไหม เพราะค่าใช้จ่ายในการจ้างช่างทำผมหรือช่างเสริมสวยดูเหมือนจะแพงเอาการอยู่เหมือนกัน
ในบทความนี้เรามีเหตุผลที่คุณควรเปิดร้านเสริมสวยมาฝาก ซึ่งก็คือ
- ลงทุนเยอะในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น – ร้านเสริมสวยคือธุรกิจที่คุณจะใช้งบเยอะในช่วงแรกเท่านั้น แต่ใช้เงินหมุนเวียนค่อนข้างน้อย
- เป็นธุรกิจที่อินเทรนด์ ไม่มีตกยุค – ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นยังไง แต่ใคร ๆ ก็อยากดูดีอยู่เสมอ ดังนั้นแม้จะมีช่วงที่ยอดขายน้อยบ้าง (เช่น ช่วงโควิด 19 ที่ผ่านมา) แต่ร้านก็กลับมาฟื้นตัวได้เร็วแน่นอน
- สบายได้ แค่มีลูกค้าประจำ – รู้ไหมว่ารายได้ส่วนใหญ่ของแทบทุกธุรกิจร้านค้านั้นมาจากลูกค้าประจำ ? ดังนั้นร้านเสริมสวยก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณมีลูกค้าประจำ รับรองทำเงินและรายได้ให้ร้านได้ตลอดแน่
- เครียดน้อย – ร้านเสริมสวยถือเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยมีแรงกดดันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะแรงกดดันทางต้นทุน ยิ่งเมื่อไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่แล้ว ยิ่งสบาย เพียงแต่ต้องคิดในเรื่องของแพ็คเกจหรือโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาลูกค้าประจำเท่านั้น
- มีช่างดี ต่อทุนได้ – ถ้าที่ร้านมีช่างเสริมสวยฝีมือเจ๋ง ๆ นี่สามารถเป็นจุดขายของร้านคุณได้เลย เพราะนี่คือต้นทุนที่จะต่อกำไรให้ร้านได้ ยิ่งลูกค้าติดใจฝีมือช่างที่ร้านมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งกลับมาใช้บริการที่ร้านบ่อยเท่านั้น
วิธีเปิดร้านเสริมสวยให้ประสบความสำเร็จ
1. มีงบในการเปิดร้านเสริมสวย
สิ่งสำคัญอันดับแรกในการเปิดร้านเสริมสวยก็คือ ทุน เพราะเมื่อคุณมีช่างทำผม ช่างเสริมสวย หรือว่าความพร้อมในด้านทักษะแล้ว งบในการเปิดร้านเสริมสวยคือสิ่งสำคัญที่คุณควรพิจารณา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หากคุณจะต้องมีเงินทุนอย่างน้อย 100,000 – 200,000 บาทในการเริ่มต้นเปิดร้านเสริมสวย เพราะอย่าลืมว่าคุณต้องมีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง อาทิ
- ค่าเช่าที่
- ค่าตกแต่ง
- ค่าอุปกรณ์ร้านเสริมสวย
- ค่าน้ำ
- ค่าไฟ
- ค่าพนักงาน
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีส่วนยิบย่อยต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนั้นคุณจึงจำเป็นต้องมีเงินทุนในการเปิดร้านเสริมสวยอย่างน้อย 100,000 – 200,000 บาท ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะเปิดร้านเล็กหรือใหญ่ด้วย
2. รู้หลักการขออนุญาตเปิดร้านเสริมสวย
สงสัยอยู่ใช่ไหมว่า ถ้าอยากเปิดร้านเสริมสวยต้องขออนุญาตหรือจดทะเบียนร้านหรือเปล่า?
คำตอบอยู่นี่แล้ว!
เอกสารในการขออนุญาตเปิดร้านเสริมสวย
ตามกฎหมายของการสาธารณสุขแล้ว ผู้ประกอบการจะต้องใช้เอกสารในการขออนุญาตเปิดร้านเสริมสวย ดังนี้ :-
- คำขอรับ หรือขอต่ออายุใบอนุญาต
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 1 ฉบับ
- สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ฉบับ
- ใบรับรองแพทย์ อายุไม่เกิน 6 เดือน
สถานที่ขออนุญาตเปิดร้านเสริมสวย
ก่อนจะเปิดร้านเสริมสวยเป็นกิจลักษณะแล้ว คุณจำเป็นต้องมีใบอนุญาตให้จัดตั้งร้านหรือใช้เป็นสถานที่รับจ้าง และเป็นผู้รับจ้างจัดแต่งทรงผม ซึ่งสถานที่ที่คุณสามารถขออนุญาตได้ก็คือ
- กรุงเทพฯ – ยื่นขอ ณ สำนักงานเขตที่ตั้งสถานประกอบการร้านเสริมสวย
- ต่างจังหวัด – ยื่นขอ ณ สำนักงานเทศบาล หรือ สำนักงานสุขาภิบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งดูแลเขตพื้นที่ที่ตั้งสถานประกอบการร้านเสริมสวย
หมายเหตุ: มีค่าธรรมเนียม 500 บาท
การจดทะเบียนพาณิชย์ร้านเสริมสวย
- ถ้าคุณเปิดร้านเสริมสวยเป็นธุรกิจบริการอย่างเดียว ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์
- ถ้าเปิดร้านเสริมสวยและขายสินค้าควบคู่ไปด้วย เช่น แชมพู, ครีมนวด, ทรีทเมนต์, ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม ฯลฯ ทางร้านต้องมีการจดทะเบียนพาณิชย์
นอกจากนี้คุณจะต้องศึกษาเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย คือ ภาษีป้าย, กฎหมายและระเบียบเฉพาะธุรกิจ, การปิดป้ายแสดงราคาค่าบริการ และในเรื่องของการเสียภาษี
ภาพโดย Guilherme Petri จาก Unsplash
3. เลือกทำเลในการเปิดร้านเสริมสวยให้เป็น
ทำเลในการเปิดร้านเสริมสวย คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ร้านของคุณประสบความสำเร็จ เพราะถ้าทำเลดี โอกาสที่ลูกค้าจะมาใช้บริการก็ย่ิงมีมากขึ้น ดังนั้นเราขอแนะนำให้เลือกทำเลทองเอาไว้ก่อน ซึ่งทำเลที่เหมาะสำหรับการเปิดร้านเสริมสวยก็คือ
- พื้นที่ตลาดหรือแหล่งชุมชน – หากคิดจะเปิดร้านเสริมสวยขนาดเล็ก บอกเลยว่าต้องเปิดในตลาดและพื้นที่ชุมชน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีผู้คนมากหน้าหลายตา หลายอาชีพ และมีโอกาสที่ลูกค้าจะแวะมาใช้บริการบ่อย ๆ
- บริเวณใกล้เคียงสถานที่บริการ – สังเกตไหมว่าลูกค้าหลัก ๆ ของร้านเสริมสวยก็คือกลุ่มข้าราชการ ยิ่งเป็นกลุ่มสาว ๆ ยิ่งรักสวยรักงาม แถมยังบอกต่อร้านดี ๆ ให้เพื่อนข้าราชการด้วยกันอีกด้วย ถ้าร้านคุณจับกลุ่มลูกค้านี้ได้ รับรองมีรายได้ไม่ขาดสายแน่นอน
- พื้นที่มหาวิทยาลัย โรงเรียน และสถานศึกษา – ทำเลทองสุดเบสิกในการเปิดร้านเสริมสวยก็คือบริเวณใกล้เคียงมหาวิทยาลัย โรงเรียน และสถานศึกษา เพราะมีกลุ่มนักศึกษา กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นวัยดูแลตัวเอง ทั้งยังมีกลุ่มนักเรียนที่ต้องตัดผมตามระเบียบของโรงเรียนอีกด้วย
- ห้างสรรพสินค้า – หากมีทุนเรื่องค่าเช่าและอยากเปิดร้านเสริมสวยร้านใหญ่พร้อมราคาสูงหน่อย ก็สามารถเปิดในห้างได้เลย เพราะห้างสรรพสินค้ามีคนมาเดินเล่นและช้อปปิ้งอยู่แล้ว ยังไงก็มีโอกาสทำเงินแน่นอน
4. อุปกรณ์ในการเปิดร้านเสริมสวยต้องพร้อม
ในการเริ่มต้นเปิดร้านเสริมสวย คุณต้องมีงบและเช็คลิสต์ในการจัดซื้ออุปกรณ์ด้วย แล้วคุณก็ต้องเลือกอุปกรณ์คุณภาพดีถึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน ซึ่งอุปกรณ์ร้านเสริมสวยที่จำเป็นก็จะมีราคาแตกต่างกันออกไป เช่น
- กระจกบานใหญ่ – กระจกด้านหน้าลูกค้า ราคาเริ่มต้นที่บานละ 1,000 – 2,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทของกรอบกระจก
- กระจกบานเล็ก – กระจกด้านหลัง มีไว้ใช้ส่องด้านหลังให้ลูกค้าดูหลังจากตัดหรือทำผม ราคาเริ่มต้นที่ 250 – 300 บาท
- เก้าอี้ร้านเสริมสวยสำหรับช่าง – ราคาเริ่มต้นที่ตัวละ 500 บาทขึ้นไป
- เก้าอี้ร้านเสริมสวยสำหรับลูกค้า – ราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาทขึ้นไป
- เตียงสระผมพร้อมอ่าง – ราคาเริ่มต้นที่ 3,000 บาท หากเลือกรุ่นดีขึ้นมาหน่อย ราคาก็อาจจะเริ่มที่หลักหมื่น
นอกจากนี้ก็ยังมีอุปกรณ์จำเป็นอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น กรรไกรตัดผม, ไดร์เป่าผม, เครื่องรีดผม, เครื่องม้วนผม, ผ้าขนหนู, กรรไกรตัดเล็บ, หวี, ชั้นวางอุปกรณ์เสริมสวย ฯลฯ ทางที่ดีเราแนะนำให้ทำเป็นเช็คลิสต์อุปกรณ์ร้านเสริมสวยและสำรวจราคาให้ดีก่อนเลือกซื้อ เพื่อจะได้ประหยัดงบในการเปิดร้านเสริมสวย แล้วก็มีอุปกรณ์พร้อมเปิดร้านจริง ๆ
ภาพโดย senivpetro – www.freepik.com
5. ดูว่ามีสินค้าไหนที่ขายในร้านเสริมสวยได้บ้าง
สมัยนี้ใคร ๆ ก็ขายสินค้าในร้านเสริมสวยกันทั้งนั้น เพราะนอกจากจะให้บริการตัดผม เสริมสวย หรือว่าทำเล็บแล้ว ทางร้านจะต้องเพิ่มยอดขายร้านด้วยวิธีอื่น ๆ ด้วย แต่สินค้าที่ขายเพิ่มเติมในร้านเสริมสวยจะต้องเป็นสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเท่านั้น เช่น ถ้าที่ร้านทำผมและทำเล็บด้วยก็อาจจะขายสินค้าเพิ่มเติม ดังนี้ :-
- แชมพู
- ครีมนวด
- มาส์กผม/ทรีทเมนต์
- น้ำมันใส่ผม
- เซรั่มบำรุงผม
- น้ำยาทาเล็บ
- น้ำยาล้างเล็บ
นี่เป็นเพียงตัวอย่างสินค้าที่ช่วยเพิ่มรายได้ร้านเสริมสวยเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามีสินค้าที่ขายเสริมได้อีกเพียบ ! แต่จะขายสินค้าเสริมเหล่านี้อย่างสบายใจไร้ปัญหาได้ยังไง? เราขอแนะนำว่าให้มีหน้าร้านออนไลน์ จะได้ขายสินค้าได้ตลอดเวลา แม้เวลาปิดร้านก็ยังมีโอกาสขายได้ แล้วก็ต้องมีระบบ POS ไว้คอยติดตามสต๊อกสินค้า เพื่อให้มีข้อมูลสินค้าที่แม่นยำ รู้ว่าสินค้าไหนขายดีหรือไม่ดี และสต๊อกสินค้าได้อย่างถูกต้อง (ที่สำคัญระบบ POS ยังมีฟีเจอร์อีกหลายอย่างที่ดีต่อใจคนเปิดร้านเสริมสวยด้วยนะ)
6. เลือกช่างเสริมสวยมืออาชีพเท่านั้น
มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดของการเปิดร้านเสริมสวย นั่นก็คือ การเลือกช่างเสริมสวย ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นคนลงมือตัดผมหรือให้บริการลูกค้าเอง ก็ต้องเลือกช่างเสริมสวยมืออาชีพเข้ามาทำงานที่ร้าน ซึ่งคุณสมบัติของช่างเสริมสวยที่คุณจะต้องมองหาก็คือ
- มีฝีมือ – ช่างเสริมสวยที่มีศิลปะและทักษะในการทำงานจะทำให้ลูกค้าประทับใจและกลับมาที่ร้านของคุณบ่อย ๆ
- มีประสบการณ์ – เลือกช่างเสริมสวยที่ผ่านการฝึกอบรบและมีประสบการณ์ไว้ก่อน
- มีคุณสมบัติสำหรับงานบริการ – ต้องมีความขยัน อดทน มีใจรักบริการ อ่อนน้อมถ่อมตน มีมารยาท ใส่ใจลูกค้า และรู้จักกาลเทศะ
เมื่อคุณได้ช่างเสริมสวยมืออาชีพที่มีฝีมือดีและมีคุณสมบัติตรงตามข้างต้นแล้ว คุณก็จะรู้ว่าสิ่งนี้คุ้มค่ากับการลงทุน เพราะช่างเหล่านี้จะมีวิธีพูดคุยกับลูกค้า แล้วร้านคุณก็จะเรียกลูกค้าได้ไม่ยาก
ภาพโดย Racool_studio – www.freepik.com
7. การตกแต่งร้านที่เรียกลูกค้า
การแต่งร้านเสริมสวยที่ดีจะช่วยเรียกลูกค้าได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเน้นเรื่องความเป็นระเบียบสวยงามของร้านด้วย ที่สำคัญ ร้านต้องถ่ายรูปสวย เพราะสมัยนี้ลูกค้าชอบถ่ายรูปและเช็คอินกันเสียส่วนใหญ่ ถ้าร้านคุณมีช่างเสริมสวยฝีมือดี และมีมุมสวย ๆ ถ่ายรูปแล้ว รับรองลูกค้าบอกต่อเพื่อนหรือคนรู้จักให้มาใช้บริการแน่นอน แค่นี้ร้านคุณก็ทำการตลาดได้แบบฟรี ๆ แล้ว!
ทั้งนี้ไอเดียร้านเสริมสวยที่เราอยากแนะนำก็มีดังนี้ :-
- สไตล์รัสติก (Rustic) – เน้นความงามในเนื้อแท้และปล่อยให้วัสดุเป็นไปตามกาลเวลา เช่น ผนังปูนเปลือยหรือผนังอิฐเปลือยเปล่า เป็นต้น
- สไตล์เออร์เบิน (Urban) – ร้านเสริมสวยสไตล์คนเมือง เน้นความโมเดิร์นทันสมัย
- สไตล์ Elegant – เน้นความหรูหราและการตกแต่งที่ดูแพง
- สไตล์มินิมอล – ร้านเสริมสวยสไตล์มินิมอลลิสต์ เน้นความเรียบง่ายและพื้นที่ใช้สอย
- สไตล์อินดัสเทรียล (Industrial) – เน้นการตกแต่งที่ดูดิบ แต่แฝงไปด้วยศิลปะ
นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกต้นไม้ใบหญ้า พร็อพเก๋ ๆ ภาพวาดศิลปะ หรือจะเพ้นท์ภาพบนผนังร้านให้ร้านดูมีลูกเล่นและมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาอีกก็ยังได้
8. ร้านต้องสะอาดและปลอดภัยสำหรับลูกค้า
ขึ้นชื่อว่าร้านเสริมสวยแล้ว ก็อาจจะมีเศษผมตกหล่นอยู่บนพื้นกันบ้าง แต่ก็ต้องทำความสำอาดให้เร็วที่สุด เพื่อให้ร้านดูดีอยู่เสมอและน่าเข้าในสายตาลูกค้า ซึ่งวิธีการรักษาความสะอาดร้านเสริมสวยก็คือ
- ทำความสะอาดอยู่เสมอ ทั้งบริเวณรับรองลูกค้า บริเวณทำผม สระผม ห้องน้ำ และบริเวณอื่น ๆ ของร้าน มีการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1 เปอร์เซ็นต์
- ตรวจวัดอุณหภูมิพนักงานและลูกค้าก่อนเข้าร้านทุกครั้ง เพื่อป้องกันโควิด 19 ในเบื้องต้น
- จัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์ ให้พนักงานและลูกค้าได้ล้างมือบ่อย ๆ
- พนักงานควรใส่ Faceshield หรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ
- เว้นระยะห่างภายในร้าน แม้สถานการณ์โควิด 19 ในไทยจะดีขึ้นแล้ว แต่เราก็ยังควรป้องกันไว้ ดังนั้นร้านเสริมสวยของคุณก็ควรมีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าด้วย
ภาพโดย Delbeautybox จาก Pexels
9. การบริการต้องมาเป็นที่หนึ่ง
อย่าลืมว้าร้านเสริมสวยคือธุรกิจบริการประเภทหนึ่ง ดังนั้นทางร้านจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย คือต้องบริการลูกค้าด้วยใจจริงและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในร้าน และวิธีให้บริการลูกค้าร้านเสริมสวยที่มัดใจลูกค้าได้เป็นอย่างดีก็ได้แก่
- กล่าวทักทายและขอบคุณ – เชื่อว่าหลาย ๆ ร้านคงมีวิธีปฏิบัติกันแบบนี้อยู่แล้ว เพราะการพูดจาทักทายและขอบคุณลูกค้าคือการสร้างความประทับใจเบื้องต้น ทั้งนี้การเชิญชวนให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้งหลังจากกล่าวขอบคุณ ก็เป็นสิ่งที่ชวนให้ลูกค้านึกถึงร้านเมื่อต้องการตัดแต่งทรงผมหรือทำเล็บอีกครั้ง
- มีอะไรให้ลูกค้าทำ – มีนิตยสารและชาให้ลูกค้าจิบระหว่างรอและขณะรับบริการเพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดอาการเบื่อหรือเซ็ง อย่างน้อยก็มีอะไรให้ลูกค้าอ่านเล่นเพลิน ๆ และจิบแก้คอแห้ง
- ใส่ใจทุกขั้นตอน – สอบถามความพึงพอใจลูกค้าในทุกขั้นตอนการให้บริการ เช่น เปิดรับความคิดเห็นของลูกค้าสระ/ไดร์ผม ถ้ามือหนักไป ให้ลูกค้าบอกช่างได้ทันที
10. มีเทคนิคเสริมเพื่อเรียกลูกค้า
ส่วนใหญ่เมื่อลูกค้าติดใจร้านเสริมสวยแล้ว ก็จะอยากกลับมาใช้บริการอีก แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะปัจจุบันการแข่งขันในวงการธุรกิจเสริมสวยก็ถือว่าไม่น้อย ดังนั้นทางร้านจึงควรมีจุดเด่นและจุดขายที่ช่วยเรียกลูกค้าให้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง ซึ่งก็คือ
- จัดโปรโมชั่น – มีแพ็คเกจให้ลูกค้าเลือกใช้บริการในราคาพิเศษ เช่น สระ+ซอย, สระ+ตัด+ไดร์ หรือจะมีโปรโมชั่นทำสีและทรีทเมนต์ก็เก๋ไม่น้อย
- แพ็คเกจสินค้า – จับคู่แชมพูหรือครีมนวด แล้วขายในราคาถูกกว่า แนะนำสินค้าที่ตรงกับปัญหาของลูกค้าจริง ๆ ห้ามฮาร์ดเซลล์จนออกหน้าออกตา ไม่อย่างนั้นลูกค้าอาจจะเข็ดและไม่กลับมาที่ร้านก่อนก็ได้ จำไว้ว่าไม่มีใครชอบโดนบังคับขายของ
- มีระบบสมาชิก – มีระบบสมาชิกเก็บชื่อ เบอร์โทร หรืออีเมล เพื่อส่งต่อข่าวสารของร้าน และมีรางวัลมอบให้กับลูกค้าสมาชิก อาจจะเป็นเครดิตร้านค้า บัตรสะสมแต้ม หรือโปรแกรมเงินคืน ก็ได้ ให้ลูกค้ามีส่วนลดและแรงจูงใจในการกลับมาใช้บริการที่ร้านเสริมสวยของคุณอีก
สรุป
การเปิดร้านเสริมสวยไม่ว่าจะร้านเล็กหรือใหญ่คุณก็ประสบความสำเร็จได้ ขอแค่มีใจรักเป็นพื้นฐานและมีเทคนิคเป็นตัวช่วย อย่างเทคนิคที่เรานำมาฝากก็มีตั้งแต่งบในการเปิดร้านเสริมสวย การเลือกทำเล การขออนุญาตเปิดร้าน การขายสินค้าเพิ่มเติมในร้านเพื่อเพิ่มรายได้ ไปจนถึงเทคนิคการให้บริการและมัดใจลูกค้า ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการที่กำลังวางแผนเปิดร้านเสริมสวย หรือถ้าใครมีเทคนิคเด็ด ๆ เพิ่มเติม สามารถแชร์กับเราที่คอมเมนต์ด้านล่างได้เลย!
ทิ้งท้ายก่อนไป . . .
หากคุณคิดจะขายสินค้าเพิ่มเติมในร้าน ทำระบบสมาชิก จัดโปรโมชั่น หรือจัดการดูแลพนักงานในร้านเสริมสวย ระบบ POS ก็ถือว่าครอบคลุมและช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณสามารถทดลองใช้ระบบ POS ฟรี หรือติดต่อเราเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!