New Retail แนวคิดค้าปลีกยุคใหม่ของ Alibaba เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซรายใหญ่จากจีนถือเป็นกระแสที่กำลังมาแรงและน่าจับตามองไม่น้อย เพราะถ้ามีเทรนด์นี้เข้ามาจริง ๆ เจ้าของธุรกิจค้าปลีกและผู้ประกอบการน้อยใหญ่จะต้องปรับตัวกันไปอีกขั้น ส่วนเจ้าเทรนด์นี้คืออะไร จะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเป็น New Retail อย่างที่ทาง Alibaba เคลมไว้จริง ๆ หรือเปล่า ? เรามาทำความรู้จักไปพร้อมกันเลยดีกว่า
New Retail คืออะไร เป็นค้าปลีกใหม่ที่ใหม่จริงหรือเปล่า ?
ภาพจาก NZTE News
New Retail มาจากเจ้าพ่อแห่ง Alibaba ที่เรารู้จักกันดีในชื่อของ แจ็ค หม่า (Jack Ma) ซึ่งเขาคือบุคคลที่คิดค้นคำนี้และใช้ครั้งแรกในกลยุทธ์ 5 New (Five New Strategy) ของ Alibaba เพื่อเตรียมส่งต่อกิจการให้กับ แดเนียล จาง (Daniel Zhang) CEO คนปัจจุบัน ซึ่งกลยุทธ์ 5 New ที่ว่านี้ก็ได้แก่ New Retail: ค้าปลีกใหม่, New Finance: การเงินใหม่, New Manufacturing: การผลิตใหม่, New Technology: เทคโนโลยีใหม่ และNew Energy: พลังงานใหม่
โดยความหมายของคำว่า New Retail จาก Alibaba ก็คือ การนำค้าปลีกแบบออฟไลน์และออนไลน์มารวมเข้าด้วยกัน โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวเชื่อมต่อการขายทั้งสองแบบนี้เข้าด้วยกัน เพื่อให้การค้าปลีกไร้ขีดจำกัดและไม่มีเส้นแบ่งแยกชัดเจนระหว่างค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์อีกต่อไป ซึ่งถ้าใครได้อ่านการคาดการณ์เทรนด์ค้าปลีก 2020 ของสโตร์ฮับก็จะรู้ว่า ที่จริงแล้ว คำว่า New Retail ของ Alibaba นั้นไม่ได้ใหม่เสียทีเดียว
หัวใจสำคัญของ New Retail ที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ ?
ภาพจาก Alizila
ที่จริงแล้ว New Retail ค้าปลีกใหม่ หรือ ค้าปลีกรูปแบบใหม่ ของอาลีบาบา นั้นก็คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิมเพื่อเสริมสร้างให้การค้าขายแบบเดิม ๆ แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ New Retail จะช่วยให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เมื่อเดินเข้าร้านค้าปลีก โดยตัวอย่างที่ดีที่สุดของค้าปลีกรูปแบบใหม่ก็คือ “ร้านเหอหม่า (Hema)” หรือ “FRESHIPPO” ซูเปอร์มาร์เก็ตดิจิตอลของ Alibabab ที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้นั่นเอง โดยร้านค้าปลีกแห่งนี้ได้ผสมผสานการค้าออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างลงตัวและไร้รอยต่อ ซึ่งหากเดินเข้าไปในร้านก็จะพบกับเทคโนโลยีค้าปลีกใหม่ ๆ ดังนี้ :-
- บาร์โค้ดอัจฉริยะ – ลูกค้าสามารถแทร็กที่มาของสินค้าได้ง่าย ๆ จากบาร์โค้ดสินค้า เริ่มตั้งแต่การผลิต ส่วนประกอบของสินค้า หรือแม้กระทั่งรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น วันหมดอายุสินค้า ผู้ผลิต สถานที่ผลิต หรือถ้าเป็นส่วนประกอบของอาหาร ก็อาจจะมีเมนูพร้อมสูตรทำอาหารแสดงบนหน้าจอมือถือเมื่อสแกนบาร์โค้ดที่ตัวสินค้า ถือเป็นระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้ค้าปลีกออฟไลน์เจ๋งขึ้นมาก ๆ
- ระบบอัตโนมัติในขั้นตอนต่าง ๆ – ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่ทางอาลีบาบานำมาใช้ในซูเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่า ทางร้านจึงอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เช่น แทนที่จะมีแคชเชียร์จ่ายเงิน ทางร้านก็มีระบบคิดเงินอัตโนมัติ เป็นการเข้าสู่ยุค Cash-free Retail คือค้าปลีกไร้เงินสด เพราะลูกค้าสามารถจ่ายเงินผ่าน QR Code และจ่ายเงินได้ด้วยใบหน้า (Face Payment) เรียกว่าล้ำหน้ามาก ๆ
- ป้ายราคาสินค้าแบบดิจิตอล – ทางร้านสามารถปรับเปลี่ยนราคาสินค้าและโปรโมชั่นได้แบบเรียลไทม์ คือไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนป้ายและสูญเสียโอกาสในการขายของ หากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องราคาก็สามารถอัพเดทได้เลย
- ระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร – ร้านเหอหม่ารับประกันเรื่องความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าภายใน 30 นาที ซึ่งบ้านของลูกค้าต้องอยู่ไม่ไกลจากร้านเกิน 3 กิโลเมตร โดยเมื่อลูกค้าเดินเข้ามาร้านเพื่อซื้อของ ก็สามารถสั่งให้ทางร้านส่งผัก ผลไม้ หรือของสดต่าง ๆ ให้เดลิเวอรี่ส่งตรงถึงหน้าบ้านได้เลย แล้วสินค้าที่ว่าก็จะถูกจัดส่งภายในครึ่งชั่วโมงเท่านั้น! ส่วนสำหรับร้านที่อยู่ไกลจากร้านกว่า Alibaba ก็บอกว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าไม่เกิน 30 นาทีนี้แน่นอน! เพราะแค่ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้าจากร้านในเว็บหรือแอพ Taobao ออร์เดอร์ก็จะถูกส่งมาที่ร้านเหอหม่า จากนั้นทางร้านก็จะแพ็คสินค้าใส่ตะกร้า แล้วก็มีสายพานส่งให้คนขับ เมื่อคนขับได้รับแพ็คเกจสินค้าก็จะทำการส่งสินค้าให้ลูกค้าทันที
ถ้าสังเกตระบบและขั้นตอนการขายแบบ New Retail ของ Alibaba ก็จะรู้ว่า คือการผสมผสานกันของค้าปลีกออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกันนั่นเอง ซึ่งการผสมผสานที่ว่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างทรงประสิทธิภาพและไร้รอยต่อ เป็นการตอบโจทย์ค้าปลีกยุคใหม่ได้อย่างไร้ขอบเขตจำกัด โดยเหอหม่าพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจะไม่มีการแบ่งแยกออนไลน์และออนไลน์ออกจากกัน เพราะในหน้าร้านหรือค้าปลีกออฟไลน์มีออนไลน์ และในออนไลน์ก็มีออฟไลน์นั่นเอง
New Retail ค้าปลีกใหม่ดีต่อตัวลูกค้ายังไง ?
ภาพจาก Alizila
New Retail ของ Alibaba จะเข้ามาอำนวยความสะดวกและเติมเต็มประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ดียิ่งขึ้นสำหรับลูกค้า คือมีทางเลือกในการซื้อสินค้าของลูกค้าได้ทั้งหน้าร้านและออนไลน์ มีการติดตามหรือแทร็กที่มาของสินค้าแต่ละชิ้นได้จากบาร์โค้ด เป็นการแสดงความโปร่งใสและบอกเรื่องราวของสินค้าได้ครบ ทั้งยังมีการจ่ายเงินที่รวดเร็วและสะดวกสบายผ่านการจ่ายเงินด้วย QR Code หรือแม้กระทั่ง Face Payment ที่ให้ลูกค้าจ่ายเงินได้ด้วยใบหน้า
ผู้ประกอบการได้อะไรจาก New Retail ที่ว่านี้ ?
ภาพจาก New York Times
New Retail ที่ว่านี้อาจจะไม่ได้ใหม่ไปหมดเสียทีเดียว เพราะตามที่เราได้ศึกษาเทรนด์ค้าปลีก 2020 ของสโตร์ฮับแล้วจะพบว่ามีหนึ่งอย่างที่เหมือนกัน นั่นก็คือ การเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยี ซึ่งผู้ประกอบการและเจ้าของร้านค้าปลีกต่าง ๆ จะต้องรับเข้ามาใช้งานในร้าน ทั้งการจ่ายเงินสินค้าแบบไร้เงินสด การเชื่อมต่อหน้าร้านเข้ากับโลกออนไลน์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างไร้ขีดจำกัดทั้งหน้าร้านและหลังร้าน
นอกจากนี้ก็สามารถนำเทคโนโลยี VR เข้ามาใช้ในร้านเครื่องสำอางหรือร้านขายเสื้อผ้าก็ได้ ซึ่งตอนนี้ที่จีนมีให้เห็นบ้างแล้ว ส่วนที่ไทยก็มีวัตสันที่มีกระจกวิเศษโดยเทคโนโลยี VR ให้ลูกค้าลองเครื่องสำอางได้โดยไม่ต้องเช็ดเมคอัพที่หน้าออก และถ้าลูกค้าต้องการซื้อสินค้าก็ซื้อได้ที่หน้าร้านได้เลย ถือเป็นการผสมผสานออฟไลน์กับออนไลน์ได้ดีมาก ๆ
สรุป
สำหรับ New Retail ของ Alibaba แล้ว ก็จะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสานหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าและร้านค้าต่างก็ได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ โดยฝั่งลูกค้าจะได้บริการที่รวดเร็ว สะดวกสบาย และตรวจสอบความโปร่งใสหรือที่มาของสินค้าได้ง่ายขึ้น ในส่วนของทางร้านค้าก็จะจัดการสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น ทำให้การขายมีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม
ทั้งนี้หากต้องการมีข้อมูลลูกค้าและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้ดีกว่า ก็ต้องมีระบบ POS หรือโปรแกรมขายหน้าร้านเข้ามาช่วยบันทึกข้อมูลลูกค้า จัดการสต๊อกสินค้า บริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ตลอดถึงเปิดร้านค้าออนไลน์ อย่างที่สโตร์ฮับของเราก็มีระบบ POS ที่ช่วยจัดการหน้าร้านและเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การทำงานแม่นยำ ทั้งยังมีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซให้เจ้าของร้านค้าปลีกเปิดเว็บขายของออนไลน์ได้ฟรี ๆ ! เท่านี้ก็จะปรับตัวเข้ากับ New Retail ของ Alibaba และเทรนด์ค้าปลีกยุคใหม่ได้ง่าย ๆ แล้ว