รู้หรือเปล่าว่านอกจากรสชาติแสนอร่อยของแต่ละเมนูแล้ว กล่องใส่อาหาร ที่เราเรียกกันว่า Food Packaging ก็เป็นจุดขายของร้านได้ ? ซึ่งจากการคาดการณ์ของ Morgan Stanley นั้นพบว่า กล่องบรรจุอาหารจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านได้มากถึง 11% ภายในปี 2022! เพราะฉะนั้นหากร้านอาหารของคุณมีบริการ “ซื้อกลับบ้าน” หรือ “เดลิเวอรี่” ก็ต้องเลือกกล่องใส่อาหารให้เป็น เพื่อสะท้อนถึงตัวตน ความฉลาดเลือก และความใส่ใจของร้าน
ลองคิดดูว่า ถ้าคุณเองสั่งเมนูโปรดออนไลน์ หรือหิ้วอาหารเจ้าประจำกลับบ้าน แต่กว่าจะถึง อาหารกลับเย็นชืดเสียหมด คุณก็คงจะทานไม่อร่อยใช่ไหมล่ะ ?
นั่นเป็นเพราะว่า ร้านอาหารร้านนั้นอาจจะเลือกบรรจุภัณฑ์ไม่เหมาะกับประเภทอาหารก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อให้อาหารของร้านคุณยังคงความสดใหม่อยู่เสมอ คุณจึงจำเป็นต้องเลือกกล่องใส่อาหารให้เป็นนั่นเอง
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับกล่องใส่อาหาร (Food Packaging)?
ภาพจาก Unsplash
กล่องใส่อาหาร (Food Packaging) มีประโยชน์มากกว่าแค่ใส่อาหาร ทำให้หลายร้านหันมาใส่ใจในการเลือกมากขึ้น หรือบางร้านก็ถึงขั้นออกแบบ Food Packaging เอง เพราะกล่องใส่อาหารที่ใช่ มีข้อดีมากมายดังนี้ :-
- ปกป้องอาหารจากการปนเปื้อน เมื่อต้องส่งอาหารเดลิเวอรี่ให้ลูกค้า
- ทำให้อาหารน่าทานยิ่งขึ้น ถ้าลูกค้าได้รับอาหารในสภาพกล่องยับยู่ยี่ หรือมีอาหารเลอะเปื้อนกล่องออกมา ก็คงจะไม่น่าทานสักเท่าไหร่ จริงไหม ? ดังนั้นกล่องอาหารดีไซน์สวย สภาพสมบูรณ์ก็ช่วยให้อาหารน่าทานยิ่งขึ้น ไม่ต่างจากการเสิร์ฟอาหารบนจานเก๋ ๆ ที่มีการตกแต่งอาหารนั่นเอง
- ช่วยควบคุมอุณหภูมิอาหาร อาหารที่ต้องเสิร์ฟร้อน ๆ ถึงจะอร่อยอย่างสปาเก็ตตี้, พิซซ่า, ซุป ฯลฯ เวลาที่ลูกค้ามาซื้อกลับไปทานบ้าน หรือสั่งอาหารออนไลน์ ก็ควรจะได้ทานร้อน ๆ เช่นกัน ลูกค้าหลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หากร้านคุณใช้กล่องบรรจุอาหารที่ไม่เหมาะสม ลูกค้าก็อาจจะหันไปสั่งกับเจ้าอื่นก็เป็นได้
- ช่วยให้ขายอาหารได้มากขึ้น รู้ไหมว่าแพ็คเกจจิ้งอาหารที่สวยสะดุดตา หรือมีดีไซน์ที่สร้างสรรค์ก็ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้ออาหารจากร้านคุณเช่นกัน ?
- ช่วยให้คุณคิดสินค้าราคาพรีเมี่ยมได้ Food Packaging ที่ออกแบบมาอย่างดีและผลิตด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยม จะช่วยสร้างมูลค่าให้กับเมนูอาหารได้ ซึ่งจากการศึกษาของ Asia Pulp & Paper นั้นพบว่า ลูกค้าเต็มใจจ่ายมากขึ้นหากร้านใช้กล่องใส่อาหารรักษ์โลก
- ส่งเสริมแบรนด์ แพ็คเกจจิ้งก็ช่วยสะท้อนถึงตัวตนร้านและแบรนด์ได้เช่นกัน และยังเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคุณกับลูกค้า ดังนั้นร้านจึงต้องเลือกสี ดีไซน์ และข้อความบนกล่องอย่างใส่ใจ เช่น หากร้านอาหารของคุณเป็นที่รู้จักในเรื่องของรสชาติอร่อยและมีความเฮฮาในตัว ก็ควรเลือกกล่องที่สะท้อนถึงจุดขายตรงนี้ แค่เห็นแว้บแรกลูกค้าก็จะรู้ทันทีว่านี่คืออาหารจากร้านคุณ
- แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าร้านอาหารของคุณให้ความสำคัญหรือว่าใส่ใจเรื่องไหน หากร้านของคุณใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในอนาคต ก็ควรเลือกใช้ Food Packaging ที่ย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodegradable Packaging)
กล่องใส่อาหารแต่ละประเภทแพงไหม ราคาต่างกันเท่าไหร่ ?
การเลือกวัสดุคือขั้นตอนสำคัญและเป็นขั้นตอนแรกของการเลือกกล่องใส่อาหารหรือ Food Packaging ซึ่งในปัจจุบัน
- กล่องโฟม ช่วยคงความร้อนและรักษาความเย็นได้เป็นอย่างดี แต่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- กล่องพลาสติก แข็งแรง ทนทาน ป้องกันอาหารหกหรือเลอะได้ค่อนข้างดี แต่ก็ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
- กล่องกระดาษ สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable Packaging) คุ้มค่าแก่การลงทุน ปริ้นต์และออกแบบ/ปรับแต่งได้ง่ายตามสไตล์ร้านอาหาร ทั้งยังแข็งแรงทนทาน สามารถควบคุมอุณหภูมิอาหารในกล่องได้เป็นอย่างดี
- กล่องใส่อาหารรักษ์โลก หรือกล่องใส่อาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ราคาจะแพงขึ้นมาหน่อย แต่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อาจจะเลือกเป็นขวดแก้วที่รีไซเคิลสำหรับเครื่องดื่มสมูทตี้ หรือเลือกเป็นกล่องอาหารที่ทำจากชานอ้อยและย่อยสลายได้ตามธรรมชาติก็ได้
จากประเภทของวัสดุกล่องใส่อาหารที่เราได้ยกตัวอย่างมานี้ เราเชื่อว่า Food Packaging ที่ย่อยสลายทางชีวภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของร้านอาหาร ซึ่งแม้จะมีราคาสูงขึ้นมาหน่อย แต่ก็คุ้มค่ากับการลงทุน แล้วอีกอย่างก็มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะสนับสนุนและเต็มใจจ่ายแพงขึ้นเพื่อดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม อย่าลืมว่า เทรนด์อาหารและเครื่องดื่มในปี 2020 นี้ กระแสรักษ์โลกยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง
ควรเลือกกล่องใส่อาหาร (Food Packaging) ยังไงถึงจะสะท้อนตัวตนแบรนด์และโดนใจลูกค้า ?
ภาพจาก Unsplash
คราวนี้มาถึงวิธีเลือกกล่องใส่อาหารกันดีกว่า เรามาดูกันเลยว่าจะเลือก Food Packaging ยังไงให้สื่อถึงตัวตนร้านและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่สั่งอาหาร หรือว่าซื้อกลับไปทานบ้าน ซึ่งเราก็ได้รวบรวมมาฝากร้านอาหาร 4 ข้อด้วยกัน คือ
1. เลือกกล่องใส่อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่า เทรนด์แพ็คเกจจิ้งที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเทรนด์มาแรงที่ร้านอาหารต้องให้ความสำคัญในปี 2020 นี้ นั่นก็เพราะว่าลูกค้ายุคใหม่ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับรสชาติอาหารเท่านั้น แต่ลูกค้าต้องการจ่ายเงินให้กับร้านที่มีเรื่องราว คือรู้ที่มาของอาหารแต่ละเมนู รู้จักส่วนผสม และขั้นตอนการทำ
นอกจากนี้ลูกค้ายังให้คุณค่าและใส่ใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมร้านอาหารที่คืนประโยชน์กลับสู่สังคม ดังนั้นการเลือกใช้กล่องใส่อาหารอย่างชาญฉลาด โดยเลือกแพ็คเกจจิ้งที่ย่อยสลายได้ง่ายและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นทางเลือกของร้านอาหารในยุคนี้และต่อไปในอนาคต
2. เลือกใช้แพ็คเกจจิ้งสไตล์มินิมอล
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ดีไซน์ที่เรียบง่ายก็ยังครองใจลูกค้าร้านอาหารและร้านอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีเสมอมา เพราะบางทีกล่องที่เต็มไปด้วยลวดลายหรือตกแต่งด้วยอะไรที่ไม่จำเป็น มีแต่จะทำให้อาหารของคุณน่าทานน้อยลง และลูกค้าก็อาจจะไม่ปลื้มหรือสั่งอาหารเดลิเวอรี่ร้านคุณอีกเลยก็ได้ ในทางกลับกันกล่องใส่อาหารสไตล์มินิมอลมีแต่จะส่งผลดีต่อร้านอาหารคุณ เพราะว่า . . .
- กล่องอาหารหรือเครื่องดื่มสไตล์มินิมอล เป็นดีไซน์ที่ไม่เน้นขายหรือทำการตลาดมากเกินไป
- เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ไม่สิ้นเปลือง ประหยัด และส่วนใหญ่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ช่วยให้ร้านหรือแบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างมูลค่าให้กับอาหาร ร้านจึงเรียบหรูดูแพง และคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายมากขึ้นในสายตาลูกค้า
- ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายและไม่ตกแต่งกล่องอาหารจนเกินงาม ทำให้ร้านของคุณสามารถสื่อสารกับลูกค้าร้านอาหารและสื่อถึงคีย์เมสเสจ (Key Message) ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าตระหนักและรับรู้เรื่องราวของแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นถ้าอยากได้เปรียบคู่แข่งร้านอาหารอื่น ๆ อย่าลืมใส่ข้อมูลและดีไซน์กราฟิกที่สอดคล้องกับตัวตนร้านมากที่สุด
3. เลือกกล่องที่เขียน/ใส่ข้อความถึงลูกค้าได้
หลายแบรนด์ดังเลือกที่จะใส่ข้อความอินเทรนด์หรือข้อความที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มลูกค้าเพื่อสร้างความประทับใจ ซึ่งก็ถือว่าได้ผลดีและมีประสิทธิภาพมาก ๆ อย่างโค้ก หรือ Coca-Cola แบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมชื่อดังก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมักจะมีข้อความข้างกระป๋องหรือขวดไว้เรียกลูกค้า ทั้ง แชร์โค้ก แชร์ความรู้สึกว้าว, ส่งโค้กให้แม่ และส่งโค้กให้คิมจองฮุน เป็นต้น
ดังนั้นในฐานะร้านอาหาร คุณสามารถปรับกลยุทธ์นี้ใช้ร้านเมื่อลูกค้าสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้ อาจจะเขียนชื่อลูกค้าพร้อมข้อความขอบคุณที่ลูกค้าสั่งอาหาร หรือปริ้นต์ข้อความที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษก็ได้ แล้วลูกค้าจะติดใจและกลับมาสั่งอาหารกับเครื่องดื่มของร้านอีกบ่อย ๆ แน่นอน !
4. เลือกแพ็คเกจจิ้งที่สะดวกสบาย ไม่ยุ่งยาก
ร้านอาหารควรให้ความสำคัญในเรื่องความสะดวกสบายของลูกค้าเป็นอันดับต้น ๆ เพราะลูกค้ายุคปัจจุบันมีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างยุ่งยากอยู่แล้ว เมื่อลูกค้าซื้ออาหารกลับบ้าน หรือว่าสั่งอาหารออนไลน์ นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่อยากเสียเวลาทำอาหารหรือล้างจาน
คุณจึงควรเลือกกล่องใส่อาหารที่สะดวกสบายและดีต่อใจลูกค้า คือ น้ำหนักเบา หิ้ว/ถือง่าย ปิดได้ รักษาอาหารได้ดี แม้ทานไม่หมด เช่น ถ้าคุณเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว ด้านบนของกล่องก็ควรจะมีหูหิ้วให้ลูกค้าหยิบจับสะดวกและแยกน้ำซุป เส้นจะได้ไม่อืดก่อนถึงเวลากิน
10 ไอเดียกล่องใส่อาหาร (Food Packaging) สุดเก๋ที่จะทำให้ร้านอาหารเรียกลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
คราวนี้มาดูกันดีกว่าว่ามีแพ็คเกจจิ้งหรือกล่องใส่อาหารสไตล์ไหนน่าสนใจบ้าง โดยเรามี 10 ไอเดียมานำเสนอเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับร้านอาหาร ดังนี้ :-
1. กล่องใส่ข้าว
2. กล่องใส่สลัด
3. กล่องใส่อาหารฟาสต์ฟู้ด
ภาพที่ 1 จาก Pinterest, ภาพที่ 2 จาก Envato Element
4. กล่องใส่อาหารประเภทผัดเส้น
5. กล่องใส่ซูชิ
6. กล่องใส่ไอศกรีม
7. กล่องใส่ขนมและเบเกอรี่
8. แพ็คเกจจิ้งกาแฟ
9. แพ็คเกจจิ้งชาไข่มุก
10. แพ็คเกจจิ้งน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ
และทั้งหมดนี้ก็คือวิธีเลือกกล่องใส่อาหารและไอเดีย Food Packaging ที่เรานำมาฝาก หากใครมีไอเดียเพิ่มเติม หรือต้องการนำเสนอเคล็ดลับในการเลือกแพ็คเกจจิ้งอาหารสำหรับเดลิเวอรี่และซื้อกลับบ้าน สามารถคอมเมนต์ใต้บล็อกเพื่อแชร์กับเราได้เลยนะคะ ขอย้ำอีกทีว่า ควรเลือกกล่องที่มีดีไซน์เข้ากับร้านหรือแบรนด์ของคุณ แล้วดีไซน์ ข้อความ หรือว่าข้อมูลบนกล่องต้องตรงประเด็นที่ร้านต้องการสื่อสารกับลูกค้าค่ะ