WhatsApp our business consultants: +601117227604

คู่มือเลือกระบบ POS สำหรับเจ้าของธุรกิจร้านค้ามือใหม่

คู่มือเลือกระบบ POS

ระบบ POS (Point of Sale System) หรือโปรแกรมขายหน้าร้าน เป็นระบบคิดเงินอัจฉริยะที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่เจ้าของร้านอาหาร เจ้าของร้านค้าปลีก หรือแม้กระทั่งเจ้าของร้านค้าออนไลน์ นั่นก็เพราะว่าระบบคิดเงินที่ว่านี้เป็นโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อการขายโดยเฉพาะ

ที่สำคัญ เจ้าของธุรกิจ SMEs และเจ้าของร้านค้าขนาดเล็กสามารถใช้ข้อมูลจากตัวระบบ POS ทำการตลาดและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ซึ่งจากเว็บ Finances Online นั้นพบว่า 91% ของลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้ากับร้านที่ให้ความสำคัญกับพวกเขา รวมถึงเสนอโปรโมชั่น และให้คำแนะนำพวกเขาได้ และแน่นอน ตัวโปรแกรม POS สามารถช่วยคุณจดจำและแนะนำโปรโมชั่นที่ตรงใจกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

และถ้าสงสัยว่าตัวระบบ POS นี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณได้ยังไงนั้น เรามาทำความรู้จักกับเจ้าตัวโปรแกรมนี้กันแบบละเอียดกันเลยดีกว่า โดยหัวข้อหลัก ๆ ที่เราจะนำเสนอก็ได้แก่

  1. ระบบ POS คืออะไร ?
  2. ระบบ POS ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?
  3. ระบบ POS มี่กี่ประเภท ?
  4. ระบบ POS ทำอะไรได้บ้าง ?
  5. ฟีเจอร์ระบบ POS
  6. ฟีเจอร์ทรงประสิทธิภาพของระบบ POS สโตร์ฮับ
  7. ระบบ POS กับ Customer Loyalty
  8. Loyalty Program ที่เหมาะกับแต่ละ Gen
  9. ราคาระบบ POS
  10. เทียบฟีเจอร์และราคาระบบ POS สโตร์ฮับกับเจ้าอื่น
  11. วิธีเลือกซื้อระบบ POS

 

ระบบ POS คืออะไรกันแน่ ?

ระบบ POS คืออะไร

ระบบ POS คือ ตัวโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเจ้าของร้านและเจ้าของธุรกิจเช่นคุณโดยเฉพาะ โดยคำว่า POS นั้นย่อมาจาก Point of Sale และถ้าจะแปลตรง ๆ ก็คือ “จุดขาย” หรือ “จุดชำระเงิน” นั่นแหละ นับเป็นโปรแกรมขายที่เจ้าของธุรกิจหลายรายหันมาใช้งานกันมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ถ้าสงสัยว่าตัวระบบ POS นี้อยู่ส่วนไหนของร้าน ก็ลองสังเกตที่บริเวณแคชเชียร์ของร้านค้าต่าง ๆ สิ เพราะมันคือฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องอ่านบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ และลิ้นชักเก็บเงินนั่นแหละ แต่อย่าไปสับสนกับเครื่องคิดเงินแบบทั่วไปล่ะ เพราะเจ้าเครื่องนั้นทำได้แค่คิดเงินเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับเครื่อง POS นี้แล้ว ทำอะไรได้มากกว่านั้นแน่นอน !

 

ระบบ POS ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

ตัวระบบ POS ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้การขายของร้านคล่องตัวขึ้น ทั้งยังช่วยให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การช้อปปิ้งที่รวดเร็วและดีกว่าเดิมด้วย โดยส่วนประกอบของตัวระบบนี้ก็ได้แก่ 

  1. ตัวโปรแกรม/ซอฟต์แวร์ – ทำหน้าที่คิดเงิน เก็บข้อมูลการขาย  ข้อมูลลูกค้า และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขายทั้งหมด เช่น สินค้าที่ลูกค้าซื้อ ยอดขายรายวัน และจำนวนสินค้าที่ขายไปในแต่ละวัน เป็นต้น
  2. ฮาร์ดแวร์/อุปกรณ์ POS – เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับตัวระบบ POS ที่เป็นโปรแกรมขายหน้าร้านและระบบหลังบ้าน เพื่อการทำงานที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประกอบไปด้วย

         2.1 คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต/iPad/อุปกรณ์แอนดรอยด์ – ตัวประมวลผลและแสดงการทำงานของโปรแกรม ซึ่งหากเป็นคอมพิวเตอร์ก็จะมีเครื่อง CPU คอยขับเคลื่อนการทำงาน หากเป็นระบบ POS ที่ทำงานบน iPad นิยมเรียกกันว่า iPad POS ส่วนระบบที่ทำงานกับอุปกรณ์แอนดรอยด์ จะเรียกกันว่า Android POS

        2.2 เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ – เมื่อแคชเชียร์ป้อนข้อมูลสินค้า เครื่องนี้ก็จะปริ้นต์ใบเสร็จรับเงินออกมาให้กับลูกค้า และในปัจจุบันก็มีทั้งเครื่องพิมพ์ใบเสร็จแบบใช้ความร้อนและเครื่องพิมพ์ใบเสร็จหัวเข็ม และมีให้เลือกทั้งแบบที่เชื่อมต่อกับสาย LAN และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จไร้สาย Bluetooth

        2.3 เครื่องสแกนบาร์โค้ด – เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า เครื่องอ่านบาร์โค้ด เป็นเครื่องยิงบาร์โค้ดที่อ่านข้อมูลในแท่งบาร์โค้ดของสินค้า ซึ่งมีทั้งแบบ 1D (1 มิติ) และ 2D (2 มิติ) ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์และเพิ่มความรวดเร็วแม่นยำ ในการขายสินค้า บางรุ่นสามารถสแกนบาร์โค้ดที่ไม่สมบูรณ์ได้ด้วย

       2.4 ลิ้นชักเก็บเงิน – มีไว้สำหรับเก็บและทอนเงินให้กับลูกค้า ส่วนใหญ่จะมีช่องแยกธนบัตรและเหรียญชัดเจน ช่วยให้เก็บและทอนเงินได้ง่ายยิ่งขึ้น หากเชื่อมต่อกับระบบ POS ตัวลิ้นชักเก็บเงินจะเปิดอัตโนมัติเมื่อกดรับเงินจากลูกค้า

       2.5 จอแสดงผลฝั่งลูกค้า – ให้ลูกค้ารู้ราคาทั้งหมดของสินค้าและจำนวนเงินที่ต้องจ่าย ทั้งยังแสดงถึงความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ของทางร้านด้วย ช่วยให้การซื้อ-ขายคล่องตัวแล้วก็ราบรื่นยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าของร้านและเจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ POS ทั้งหมดนี้ เพราะมีระบบ POS บางเจ้าที่มีเครื่องพิมพ์ใบเสร็จในตัวมาให้ (Android POS บางรุ่น) ช่วยประหยัดพื้นที่การใช้งานบริเวณแคชเชียร์เคาน์เตอร์และเหลือพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นนั่นเอง

 

ระบบ POS มี่กี่ประเภท ?

หากจะพูดถึงประเภทของระบบ POS นั้น เราก็แบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ 

  • โปรแกรมเก็บเงินหน้าร้านโดยเฉพาะ (POS) – ถูกออกแบบมาเพื่อขายสินค้าหน้าร้านโดยเฉพาะ  เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย และเน้นการขายที่รวดเร็ว เหมาะสำหรับร้านค้าทั่วไปที่มีเจ้าของร้านคนเดียว หรือนิติบุคคลที่ต้องจ้างบัญชีภายนอกทำบัญชีส่งสรรพากรอีกที
  • โปรแกรมบัญชี (Accounting Software) – มักจะมีรายละเอียดซับซ้อน เพราะเป็นโปรแกรมที่ทำงานตามหลักของโปรแกรมบัญชี ทำให้ใช้งานยาก และไม่เหมาะกับร้านค้าขนาดเล็ก แต่เหมาะกับบริษัทห้างร้านที่มีการทำงานร่วมกันหลายแผนก แล้วฝ่ายบัญชีของบริษัทก็จะนำข้อมูลไปทำงบการเงินส่งให้สรรพากรอีกที

นอกจากนี้ก็ยังแบ่งระบบ POS แยกย่อยได้อีกเช่นกัน ได้แก่ 

  • ระบบ POS ร้านค้าปลีก – มีฟีเจอร์การใช้งานตอบโจทย์ร้านค้าปลีกอย่างการจัดการสต๊อกสินค้า, การติดตามยอดขาย, Loyalty Program สำหรับลูกค้า, แจ้งเตือนเมื่อสต๊อกเหลือน้อย ฯลฯ
  • ระบบ POS ร้านอาหาร – มีฟังก์ชั่นที่ร้านอาหารต้องการ เช่น แผนผังโต๊ะ, การรับออร์เดอร์, การจัดคิว, การจองโต๊ะของลูกค้า และการตัดสต๊อกวัตถุดิบหรือสินค้าแบบแยกส่วน เป็นต้น
  • ระบบ POS มือถือ – ใช้งานได้ง่าย ๆ ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแอพพลิเคชั่น นิยมเป็นอย่างมากในหมู่ร้านป๊อปอัพ ร้านที่ออกบูธในงานอีเว้นท์ และร้านค้าที่มีพื้นที่จำกัด
  • ระบบ POS แท็บเล็ต/iPad – ระบบ POS ดีไซน์สวยทันสมัย มาพร้อมฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย เหมาะสำหรับร้านค้าขนาดเล็กหรือธุรกิจรายย่อย
  • ระบบ POS ขนาดเล็ก – เป็นอุปกรณ์/เครื่องขนาดเล็ก ใช้สำหรับการจ่ายเงินด้วยบัตร เหมาะสำหรับร้านค้าปลีกที่มีลูกค้าเยอะหรือร้านอาหารแบบฟูลเซอร์วิส (full-service) เน้นความรวดเร็วเป็นพิเศษ
  • ระบบ POS แบบบริการตัวเอง – จะเห็นระบบ POS ชนิดนี้ได้ตามปั๊มน้ำมัน บริการจอดรถ และร้านค้าต่าง ๆ ที่ลูกค้าจ่ายเงินได้เองโดยไม่ต้องมีแคชเชียร์ 

นอกจากนี้ก็ยังมีระบบ POS แบบครบวงจรที่เราเรียกว่า All-in-one POS โปรแกรมขายหน้าร้านทรงประสิทธิภาพซึ่งไม่ว่าคุณจะมีร้านอาหาร, ร้านค้าปลีก, ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่น, ร้านกาแฟ, ร้านชานมไข่มุก, ร้านเสริมสวย, หรือธุรกิจร้านค้าประเภทไหนก็สามารถใช้ระบบนี้เป็นตัวช่วยดูแลร้านได้ 

 

ระบบ POS ทำอะไรได้บ้าง ?

ระบบ POS สามารถทำอะไรได้มากกว่าเครื่องคิดเงินธรรมดา ทั้งยังมีข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้เจ้าของร้านเช่นคุณตัดสินใจในการทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณบริหารจัดการร้านได้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย 

หากจะพูดถึงความสามารถของระบบขายหน้าร้านอัจฉริยะที่เป็นขวัญใจเจ้าของร้านหลายคนนี้แล้ว บอกเลยว่ามีหลายอย่างด้วยกัน เช่น 

  • คิดเงิน
  • ตัดสต๊อกอัตโนมัติ
  • มีรายงานยอดขายแบบเรียลไทม์
  • ระบุสินค้าขายดี
  • ช่วยให้รู้กลุ่มลูกค้า
  • ช่วยวิเคราะห์การขาย
  • ช่วยวางแผนโปรโมชั่น
  • ช่วยควบคุมดูแลการทำงานของพนักงาน
  • สั่งซื้อสินค้าได้อัตโนมัติเมื่อสต๊อกเหลือน้อย
  • มีระบบเก็บข้อมูลลูกค้า
  • ฯลฯ

และนี่ก็เป็นข้อดีคร่าว ๆ ของระบบ POS ลองคิดดูสิว่าถ้าได้ใช้งานระบบขายหน้าร้านนี้จริง ๆ แล้วจะช่วยลดปัญหาในร้านและปัญหาปวดหัวต่าง ๆ ได้ดีแค่ไหน

ฟีเจอร์ระบบ POS สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก

ฟีเจอร์ POS สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก

ถ้าจะถามว่าทำไมระบบ POS ถึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่เจ้าของร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และเจ้าของธุรกิจประเภทอื่น ๆ นั่นก็คงเป็นเพราะฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่แต่ละแบรนด์รังสรรค์พัฒนามาเพื่อช่วยให้การดูแลร้านและธุรกิจง่ายยิ่งขึ้น เรียกว่าช่วยแบ่งเบาภาระและปัญหาปวดหัวต่าง ๆ ได้มากเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กหรือเจ้าของธุรกิจ SMEs จึงหันมาใช้งานเจ้าระบบคิดเงินสุดอัจฉริยะนี้กันมากขึ้นนั่นเอง 

ส่วนฟีเจอร์หลัก ๆ POS ที่ช่วยเจ้าของร้านและผู้ประกอบการ SMEs บริหารกิจการได้ง่ายขนาดนี้ ก็ได้แก่

  • ฟีเจอร์การจัดการสต๊อกสินค้า/คลังสินค้า – ทำได้ตั้งแต่จัดการรายละเอียดสินค้า, นำเข้าสินค้าเยอะ ๆ ในครั้งเดียว, ดูแล จัดการ และบริหารความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์, เช็คสินค้าใกล้หมดสต๊อก, ทำใบสั่งซื้อสินค้า, คืนสินค้าให้ซัพพลายเออร์, ตรวจนับสินค้าคงคลัง, ตรวจสอบรายการสินค้า, ติดตามสต๊อกแบบแยกส่วน (สำหรับเมนู/สินค้าที่มีวัตถุดิบ/ส่วนประกอบหลายส่วน), ทำราคาขายสินค้าของแต่ละสาขา, แจ้งเตือนสินค้าใกล้หมดผ่านอีเมล ไปจนถึงโยกย้ายสินค้าระหว่างสาขา ทำให้ขั้นตอนการบริหารจัดการและสต๊อกสินค้าต่าง ๆ ในร้านง่ายกว่าเดิมหลายเท่า ! 
  • ฟีเจอร์ CRM – ฟีเจอร์ของระบบ POS ในส่วนนี้จะช่วยให้ทางร้านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและช่วยให้สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงใจยิ่งขึ้น (Personalized Markerting) ด้วย CRM หรือ Customer Relationship Manangement โดยฟีเจอร์นี้สามารถทำได้ทั้งเก็บประวัติลูกค้า (เช่น วันเกิด, ที่อยู่, อีเมล, ประวัติการซื้อสินค้า), ส่ง SMS ไปหาลูกค้าได้พร้อมกันทีละหลาย ๆ คน, สร้าง CRM แบบคะแนนสะสม, กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านด้วย Loyalty Program รวมทั้งช่วยวางแผนทำโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับลูกค้าแต่ละรายด้วย
  • ฟีเจอร์รายงานยอดขาย – ยอดขายคือเป้าหมายหลักของธุรกิจ เพราะฉะนั้นเจ้าระบบ POS จึงมีฟีเจอร์รายงานยอดขายที่ช่วยให้เจ้าของร้านรู้ทุกความเคลื่อนไหวในร้านแบบเรียลไทม์ ทั้งยังมีรายงานเวลาการทำธุรกรรมแบบวัน กะ หรือแม้กระทั่งชั่วโมง, ระบุสินค้าขายดี, วิเคราะห์ภาพรวมสต๊อกสินค้า, ติดตามการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า แล้วก็ติดตามผลลัพธ์โปรโมชั่นได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว
  • ฟีเจอร์บริหารจัดการพนักงาน – เจ้าของร้านและเจ้าของธุรกิจจะไม่ต้องคิดมากหรือแบกปัญหาปวดหัวไว้อีกต่อไป ยิ่งเป็นเรื่องพนักงานจอมโกงกับพนักงานจอมฉกแล้ว ยิ่งวางใจได้ เพราะฟีเจอร์บริหารจัดการพนักงานในระบบ POS ช่วยสอดส่องดูแลเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจึงมั่นใจว่าเงินในลิ้นชักกับยอดขายจะตรงกันแน่นอน ที่สำคัญฟีเจอร์นี้ยังทำได้หลายอย่างด้วยกัน คือ จัดการข้อมูลพนักงานและการเข้าถึงข้อมูล/ระบบของพนักงานแต่ละคน, ติดตามผลการปฏิบัติงานพนักงานและชั่วโมงการทำงาน, ดูแลเรื่องลงเวลาเข้างานและเลิกงาน รวมถึงการเปิดและปิดกะ ช่วยให้คำนวณค่าจ้างและดูผลงานของพนักงานแต่ละคนได้ง่ายขึ้น
  • ฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซ (Ecommerce) – ช่วยให้เปิดร้านค้าออนไลน์ได้ในไม่กี่คลิก ไม่ต้องนั่งโค้ดหรือเสียเงินจ้างนักเขียนโปรแกรมให้เสียเงินและเวลา เพียงแค่เลือกเทมเพลตและตั้งค่าให้เรียบร้อยก็ขายของออนไลน์ได้ทันที หมดห่วงเรื่องการขายสินค้าเกินจำนวนหรือสินค้าขาดสต๊อก เพราะโปรแกรม POS อย่างของสโตร์ฮับสามารถเชื่อมต่อบัญชีหน้าร้านและออนไลน์ได้ในระบบเดียว
  • คุณสมบัติอื่น ๆ – นอกจากฟีเจอร์สุดสมาร์ทของระบบนี้แล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่จะทำให้เรื่องการดูแลร้านหลายเป็นเรื่องหมู ๆ ด้วย อาทิ ทำงานร่วมกับโปรแกรมบัญชีชั้นนำได้, รองรับการใช้งานร่วมกันกับอุปกรณ์อื่น, รองรับภาษาได้หลากหลายตามความถนัดของผู้ใช้งาน, เชื่อมข้อมูลอัตโนมัติ, ทำงานบนคลาวด์ (Cloud-based POS), บันทึกการนำเงินเข้า-ออก, เสนอส่วนลดให้กับลูกค้า และทำงานได้อย่างอัจฉริยะ ไร้ปัญหาแม้ไม่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตหรือ WiFi

แล้วที่ดียิ่งกว่าคือ เจ้าของร้านสามารถตั้งค่าและสำรวจฟีเจอร์ต่าง ๆ นี้ได้เองผ่านระบบหลังบ้านของโปรแกรม POS จึงไม่น่าแปลกใจที่ร้านค้าต่าง ๆ จะคำนวณยอดขาย, จัดการสินค้า, บริหารหน้าร้าน, ติดตามสต๊อก รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างอัตโนมัติด้วยฟีเจอร์ระบบ POS

ฟีเจอร์ทรงประสิทธิภาพของระบบ POS สโตร์ฮับ

ฟีเจอร์ระบบ POS สโตร์ฮับ

หลังจากที่ทำความรู้จักกับฟีเจอร์ของระบบ POS ทั่วไปที่เจ้าของร้านค้าต่าง ๆ ควรจะมองหาเมื่อเลือกซื้อแล้ว เราอยากบอกว่าระบบ POS ของสโตร์ฮับมีฟีเจอร์ทรงประสิทธิภาพเหล่านั้นครบ แล้วก็สามารถขับเคลื่อนธุรกิจของคุณได้อย่างเยี่ยมยอด จึงทำให้เจ้าของร้านหลายคนเลือกใช้ระบบ POS ของเรา

และฟีเจอร์สุดอัจฉริยะของระบบ POS สโตร์ฮับเราที่ช่วยให้เจ้าของร้านบริหารธุรกิจได้อย่างสมาร์ท สามารถแบ่งเป็น 6 ฟีเจอร์ใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ 

1. การรายงาน

ฟีเจอร์นี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของร้านใน 3 ด้านด้วยกัน คือ

  • ช่วยให้ดูรายงานการขายได้แบบเรียลไทม์
  • สามารถทำรายงานแยกตามรายการขายได้
  • รู้ว่าสินค้าไหนขายดีที่สุด

2. ระบบหลังบ้าน

ระบบหลังบ้านที่มากับระบบ POS สโตร์ฮับถือเป็นพระเอกในการดูแลร้านก็ว่าได้ เพราะฟีเจอร์นี้ช่วยให้ชีวิตของเจ้าของธุรกิจอย่างคุณง่ายขึ้น ดังต่อไปนี้ :-

  • ช่วยให้ใช้งานระบบ POS ได้แม้ไม่มี WiFi
  • สามารถบันทึก เก็บ แยก และรวมข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าได้
  • ช่วยวางแผนจัดโปรโมชั่นที่เหมาะกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้นได้จากข้อมูลที่มี
  • ทำงานร่วมกับโปรแกรมบัญชี QuickBooks Online (QBO), SQL และ Autocount ให้ซื้อ-ขายได้อย่างคล่องตัวและปิดบัญชีแต่ละวันง่ายขึ้น

3. อีคอมเมิร์ซ

ในยุคนี้ใคร ๆ ก็หันมาขายของออนไลน์กันหมดแล้ว และจะดีกว่าไหมถ้าคุณก็เปิดร้านค้าออนไลน์เองได้โดยไม่ต้องเสียเวลานั่งโค้ด หรือเสียเงินจ้างนักเขียนโปรแกรม เพราะด้วยระบบ POS ของสโตร์ฮับแล้วนั้น คุณสามารถเปิดเว็บไซต์ขายของออนไลน์ได้ฟรีผ่าน BackOffice แค่เข้าไปที่ระบบหลังบ้านแล้วใส่ข้อมูลในเทมเพลต ก็เปิดร้านค้าอีคอมเมิร์ซได้ในเวลาไม่กี่นาที ไม่ว่าคุณจะเปิดร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายรองเท้า ร้านขายของเล่น หรือร้านประเภทไหนก็เปิดขายบนเว็บไซต์ได้ง่ายผ่าน StoreHub BackOffice

4. สินค้าคงคลัง

หมดปัญหาเรื่องของขาดสต๊อกหรือสินค้าไม่พอขายด้วยฟีเจอร์ติดตามและจัดการสินค้าคงคลังของสโตร์ฮับ เพราะฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณจัดการ 4 เรื่องดังต่อไปนี้ได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว :-

  • นับสต๊อกสินค้าอัตโนมัติ ทุกครั้งที่ขายสินค้า ระรบบจะตัดสต๊อกทันที
  • แจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด ช่วยให้มีสินค้าขายดีบริการลูกค้าตลอดเวลา
  • เช็คและถ่ายโอนสินค้าคงคลังไปยังสาขาต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น
  • บริหารจัดการความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ได้ง่าย ลดความผิดพลาดในการสั่งซื้อสินค้า

5. ลูกค้า

ในด้านของลูกค้า คุณจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้ด้วยฟีเจอร์ CRM หรือ Customer Relationship Management เพราะโปรแกรมขายหน้าร้านของเราช่วยให้ร้านของคุณเข้าใจพฤติกรรมการช้อปของลูกค้า ทั้งยังจัดการเรื่องต่อไปนี้ได้อย่างง่ายดาย :-

  • มอบ Store Credit ให้กับลูกค้าเพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้า/บริการที่ร้านอีก
  • ส่ง SMS เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารและอัพเดตโปรโมชั่นต่าง ๆ ได้ทีละหลาย ๆ หมายเลข ช่วยลดภาระงานของพนักงานได้เป็นอย่างดี
  • มี Beep Cashback -Loyalty Program คืนเงินให้กับลูกค้าเพื่อใช้เป็นส่วนลดครั้งต่อไป เป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์และร้านของคุณ

6. พนักงาน

คุณสามารถสอดส่องดูแลพนักงานได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องกังวลว่าพนักงานจะฉกเงินในลิ้นชักหรือโกงเวลาเข้างานอีกต่อไป ทั้งยังดูการทำงานของพนักงานได้อย่างง่ายดาย เพราะระบบ POS สโตร์ฮับสามารถช่วยให้คุณ

  • จำกัดการเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ของพนักงานแต่ละคนได้
  • เช็คผลงานของพนักงานและชั่วโมงการทำงานได้ง่าย ๆ
  • บันทึกเวลาเข้า-ออกงานได้อย่างแม่นยำ
  • ดูการเปิด-ปิดกะในแต่ละวันได้ผ่านระบบหลังบ้าน

 

ระบบ POS กับ Customer Loyalty

ระบบ POS กับการสร้าง Customer Loyalty

ร้านค้าและธุรกิจหลายร้านไม่รู้วิธีการสร้างความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ส่งผลให้ลูกค้าไม่กลับมาที่ร้านอีก ซึ่งจากการศึกษาของเว็บแห่งหนึ่งพบว่า 45% ของลูกค้าร้านค้าปลีกมักจะไม่กลับมาช้อปที่ร้านอีก

นอกจากนี้ยังมีร้านค้าและธุรกิจหลายแห่งเชื่อว่าการหาลูกค้าใหม่ ๆ นั้นดีกว่าและจะทำให้ร้านมียอดขายมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าใช้จ่ายในการรักษาลูกค้าประจำไว้นั้นถูกกว่าการหาลูกค้าใหม่มากถึง 7 เท่า !

แต่คำถามคือ แล้วจะรักษาลูกค้าไว้หรือสร้าง Customer Loyalty ได้ยังไง ?

และคำตอบง่าย ๆ ก็คือ ก็ด้วยระบบ POS ยังไงล่ะ

ซึ่งถ้าสงสัยว่าเจ้าระบบคิดเงินหรือโปรแกรมขายหน้าร้านนี้จะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าได้ยังไง คำตอบก็คือ . . .

1. บันทึกข้อมูลลูกค้า

หลังจากที่คุณถามชื่อและข้อมูลการติดต่อจากลูกค้าขณะจ่ายเงินแล้ว ระบบ POS จะทำทุกอย่างให้คุณเอง ! เพราะระบบจะบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าไว้ได้ครบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ เป็นการเก็บข้อมูลเชิงลึกเพื่อจัดโปรโมชั่นให้ตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น

2. เสนอส่วนลดให้ลูกค้า

หลังจากที่มีข้อมูลของลูกค้าแล้ว ตัวระบบจะช่วยวางแผนโปรโมชั่นและส่วนลดต่าง ๆ ให้กับลูกค้า เช่น คูปองส่วนลดสำหรับสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ ส่วนลดในวันเกิด และโปรโมชั่นช่วงเทศกาลพิเศษ เป็นต้น

3. ระบุกลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายมากที่สุดและให้รางวัล

ตัวระบบ POS จะมีฟีเจอร์สะสมคะแนนให้ลูกค้า ซึ่งลูกค้าสามารถสะสมแต้มและแลกรับของรางวัลได้ เป็นการให้รางวัลและสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านบ่อยขึ้น ล่าสุดระบบ POS สโตร์ฮับก็มี Loyalty Program ที่ชื่อว่า Beep Cashback คืนเงินให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการร้านค้าหรือธุรกิจที่เป็นลูกค้าของสโตร์ฮับด้วย 

4. สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

ระบบ POS มีฟีเจอร์การจัดการสต๊อกสินค้าที่จะแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด ซึ่งเมื่อรู้ว่าสินค้าไหนขายดีและเป็นที่ต้องการของลูกค้าก็จะสามารถตุนสินค้าไว้รองรับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้หมดปัญหาสินค้าไม่พอ ทั้งยังถ่ายโอนสินค้าไปยังสาขาขายดีอีกด้วย เมื่อลูกค้าต้องการสินค้าชิ้นไหนก็มีขายและไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน

5. มอบความสะดวกสบายให้ลูกค้า

ไม่มีลูกค้าคนไหนที่อยากจะกรอกแบบฟอร์มยาว ๆ ในการสมัครสมาชิกหรอก ดังนั้นระบบ POS จึงมี Loyalty Program ชั้นเยี่ยมที่ให้ลูกค้าหรอกแค่ชื่อ เบอร์โทร หรืออีเมลก็สมัครเป็นสมาชิกได้ในไม่กี่ขั้นตอน แถมยังสามารถสะสมคะแนนได้ทันที

เห็นแล้วใช่ไหมละว่าระบบ POS สามารถช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าหรือว่า Customer Loyalty ได้ยังไง ถ้าอยากให้ลูกค้ากลับมาที่ร้านอีกและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่มี ก็สามารถใช้สุดยอดโปรแกรมขายหน้าร้านนี้ได้เลย ยิ่งเป็น Beep Cashback ที่ลูกค้าแค่สแกน QR Code บนใบเสร็จก็รับเครดิตเงินคืนได้ทันที ยิ่งง่ายต่อการเรียกลูกค้ากลับมามากขึ้น

 

Loyalty Program ที่เหมาะกับแต่ละ Gen

Loyalty Program สำหรับลูกค้าแต่ละ Gen

ทั้งร้านค้าขนาดเล็กและใหญ่จำเป็นต้องรู้ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและตรงใจที่สุดให้กับพวกเขา ซึ่งหากจะแบ่งกลุ่มลูกค้าตามวัยหรือตามรุ่นนั้น เราสามารถแบ่งเป็น 4 Gen ด้วยกัน ได้แก่ Gen B/Baby Boomers, Gen X, Gen Y/Millennials, และ Gen Z

ส่วนวิธีสร้าง Customer Loyaty ผ่าน Loyalty Program ที่ตรงใจแต่ละ Gen นั้น ก็ได้แก่

1. ลูกค้า Gen B หรือ Baby Boomers

ลูกค้ากลุ่ม Gen B หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ Baby Boomers คือ กลุ่มที่มีอายุ 55 ปีขึ้นปี เป็นกลุ่มที่ใส่ใจในเรื่องของคุณภาพสินค้าและเหมาะกับ Loyalty Program ที่เรียบง่ายอย่าง บัตรสะสมคะแนนหรือ Loyalty Card บัตรสมาชิกแบบสะสมแต้ม นั่นก็เพราะว่าโปรแกรมสมาชิกนี้ถือว่าเป็นแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด และถ้าหากพวกเขาต้องสร้างบัญชีในเว็บไซต์หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นก็อาจจะยุ่งยากเกินไปและลดความน่าสนใจของ Loyalty Program ร้านคุณได้

2. ลูกค้า Gen X

สำหรับลูกค้ากลุ่ม Gen X นั้นจะมีอายุอยู่ที่ 40 ปีขึ้นไปและเติบโตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้าและบริการบนโลกออนไลน์มากกว่า ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะให้ข้อมูลเพื่อเข้าร่วม Loyalty Program กว่า Baby Boomers ดังนั้น Loyalty Program ออนไลน์จึงเหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้เป็นที่สุด อาจจะใช้เป็นระบบสะสมแต้ม เงินคืน หรือมอบส่วนลดก็ได้

3. ลูกค้า Gen Y หรือ ชาวมิลเลนเนียล

ลูกค้ากลุ่ม Gen Y หรือ ชาวมิลเลนเนียล มีอายุอยู่ที่ราว ๆ 22 ปีขึ้นไป เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีและรักความสบายมากเป็นพิเศษ ดังนั้น Loyalty Program ที่เหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้ก็คือโปรแกรมที่เข้าถึงได้ง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือและมีขั้นตอนการลงทะเบียนที่ไม่ยุ่งยากหรือซับซ้อนมากจนเกินไป

4. ลูกค้า Gen Z

ลูกค้ากลุ่มนี้คือเด็กรุ่นใหม่ที่คล้ายกับ Gen Y เพราะเติบโตมาพร้อมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและชอบในความสะดวกรวดเร็วเป็นที่สุด Loyalty Program ที่เหมาะกับลูกค้าเจนนี้ก็คือ โปรแกรมที่สนุกสนานและน่าตื่นเต้น เช่น รับรางวัลพิเศษหรือส่วนลดทันทีเมื่อสมัครเป็นสมาชิก ส่วนขั้นตอนในลงทะเบียนก็ต้องเรียบง่ายและไม่ยุ่งยาก

 

ระบบ POS ราคาเท่าไหร่ ?

แม้จะดูมีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายและตอบโจทย์ แต่เจ้าระบบ POS นี้ราคาไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของเจ้าของธุรกิจที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบันมีหลายค่ายที่พัฒนาออกแบบโปรแกรมคิดเงินสุดเจ๋งนี้ให้เลือกใช้งานกัน 

ส่วนราคาก็ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานว่าจะเลือกใช้งานเป็นรายเดือน รายปี หรือซื้อแบบยกแพ็คเกจ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละค่ายจะมีเงื่อนไขในการใช้บริการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วระบบ POS พร้อมอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ อย่าง iPad POS, Android POS, ที่ตั้งแท็บเล็ต, ลิ้นชักเก็บเงิน, เครื่องปริ้นต์ใบเสร็จ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 40,000 บาท แต่หากเช่าเพียงตัวโปรแกรม ราคาก็จะถูกลงมาก

อย่างที่สโตร์ฮับของเราก็มีบริการรายเดือน เริ่มต้นเพียงเดือนละ 1,250 บาทเท่านั้น แล้วถ้าเกิดซื้อระบบ POS แบบยกแพ็คเกจก็จะเป็นเจ้าของได้ในราคาที่พิเศษยิ่งขึ้น แล้วถูกกว่านั้นก็คืออุปกรณ์ POS ในราคาโปรโมชั่นของเราที่เปิดโอกาสให้คุณบริหารจัดการธุรกิจเริ่มต้นที่วันละ 35 บาทเท่านั้น ! เรียกว่าถูกกว่าชาไข่มุกหรือว่ากาแฟแก้วหนึ่งเสียอีก

ในส่วนของอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกันอย่างลิ้นชักเก็บเงิน, เครื่องสแกนบาร์โค้ด, เราเตอร์ WiFi และเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ ราคาก็เริ่มต้นแค่หลักพัน โดยคุณสามารถหาข้อมูลฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละแบรนด์และเปรียบเทียบกันก่อนตัดสินใจซื้อได้

รู้แบบนี้แล้วคุณคิดว่าคุ้มค่ากับการลงทุนหรือเปล่าละ ?

 

เทียบฟีเจอร์และราคาระบบ POS สโตร์ฮับกับเจ้าอื่น ๆ ในไทย

เปรียบเทียบระบบ POS สโตร์ฮับกับเจ้าอื่น

เมื่อลองเทียบราคาระบบ POS ของสโตร์ฮับและฟีเจอร์กับแบรนด์อื่น ๆ แล้ว จะพบว่าโปรแกรมขายหน้าร้านของเราราคาถูกกว่าเจ้าอื่น ๆ ในไทยมาก แถมฟีเจอร์การใช้งานยังคุ้มค่ากว่าอีกด้วย ซึ่งจากการศึกษาของเรานั้น เราได้เทียบราคากับ 3 แบรนด์ดังในไทย โดยเราใช้นามสมมุติเป็นแบรนด์ A, B และ C ตามลำดับ

สำหรับเจ้าของธุรกิจหรือร้านค้าคนไหนที่กำลังมองหาระบบ POS มาช่วยบริหารจัดการร้านอยู่ สามารถดูการเทียบราคาของเราเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ดังต่อไปนี้

  • สโตร์ฮับ VS แบรนด์ A

แม้ราคาเริ่มต้นของระบบ POS แบรนด์ A (แบรนด์สีฟ้า) และราคาแพ็คเกจการใช้งานของสโตร์ฮับเริ่มต้นที่ 1,250 บาทเท่ากัน แต่สำหรับแบรนด์ A นั้นเจ้าของร้านยังต้องจ่ายเพิ่มเติมสำหรับการลงวัตถุดิบครั้งแรกและมีค่าบริการนอกสถานที่เมื่อใช้งานแบรนด์ A

  • สโตร์ฮับ VS แบรนด์ B

ในส่วนของแบรนด์ B (แบรนด์สีเขียวอ่อน) ระบบ POS ของสโตร์ฮับเราก็ราคาไล่เลี่ยกัน แต่สโตร์ฮับของเรามีทีมงานคอยช่วยเหลือและบริการทุกวัน ทั้งยังมีฟีเเจอร์จัดเต็ม เพราะเราอยากให้เจ้าของร้านค้าปลีก เจ้าของร้านอาหาร และเจ้าของธุรกิจทุกคนสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในราคาที่ย่อมเยาที่สุดนั่นเอง ทั้งนี้เราแนะนำให้ผู้ประกอบการเลือกและพิจารณาด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะที่สุดในการดูแลจัดการร้านของคุณเอง

  • สโตร์ฮับ VS แบรนด์ C

สำหรับแบรนด์ C สีเขียมเข้มนั้นแม้ราคาจะถูกกว่าแต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งาน เพราะถ้ามีพนักงานร้านใช้งานระบบ POS มากกว่า 1 คนก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไปอีก

ถ้ายังไม่จุใจในเรื่องของข้อมูลราคาระบบ POS สโตร์ฮับกับเจ้าอื่น ๆ ก็สามารถคลิกที่ลิ้งค์ด้านล่างเพื่อดูการเทียบราคาเวอร์ชั่นเต็มได้เลย !

 

วิธีเลือกซื้อระบบ POS ให้เหมาะกับการใช้งานในร้าน

วิธีเลือกซื้อระบบ POS ให้เหมาะกับการใช้งาน

แน่นอนว่าเมื่อมาถึงขั้นตอนการเลือกซื้อระบบ POS มาใช้ในร้านแล้ว เจ้าของร้านและเจ้าของธุรกิจหลายคนก็อาจจะสับสนได้ เพราะในปัจจุบันมีตัวเลือกระบบเยอะจนเลือกกันแทบไม่ถูก แต่เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเลือกใช้ตัวช่วยดูแลร้านนี้ เราก็มี 5 วิธีการเลือกง่าย ๆ ที่ใช้ได้จริงมาแนะนำด้วยดังนี้ :-

1. ตรวจดูปัญหาของร้าน 

สิ่งแรกที่เจ้าของธุรกิจและเจ้าของร้านควรจะทำก่อนเลือกซื้อระบบ POS มาใช้งาน ก็คือ การเช็คปัญหาของร้าน เพื่อดูว่าต้องแก้ไขปัญหาในส่วนใด หรือว่ามีอะไรที่ทางร้านต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน เนื่องจากร้านค้าหรือธุรกิจแต่ละประเภทก็จะมีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เช่น

  • ร้านอาหารและเครื่องดื่ม – ส่วนใหญ่แล้วปัญหาร้านอาหารอย่างคาเฟ่ ร้านกาแฟ หรือว่าร้านอาหารทั่วไปนั้น มักจะเป็นต้นทุนในการจัดการร้าน วัตถุดิบเน่าเสีย หรือว่าพนักงานรับออร์เดอร์ลูกค้าผิด
  • ร้านค้าปลีกปัญหาร้านค้าปลีกก็จะเป็นเรื่องของสต๊อกสินค้า ของหาย ยอดเงินไม่ตรง และไม่รู้ว่าสินค้าไหนขายดีเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของเล่น หรือร้านขายของชำก็จะเจอปัญหานี้กันเกือบทุกราย
  • ร้านเสริมสวย – บางที่อาจจะไม่สามารถติดตามแพ็คเกจโปรโมชั่น หรือติดตามสต๊อกสินค้าพวกทรีทเมนต์บำรุงผม แชมพู ครีมนวด ฯลฯ ที่วางขายในร้าน

2. ดูว่าระบบ POS ต้องใช้งานกับอุปกรณ์ไหนบ้าง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้งานร่วมกับตัวโปรแกรม POS นั้นมีหลายอย่างด้วยกัน อาทิ คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ค, แท็บเล็ต, iPad, เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ, เครื่องสแกนบาร์โค้ด, ขาตั้ง, จอแสดงผลฝั่งลูกค้า และเราเตอร์ WiFi 

ซึ่งถ้าจะให้ดีควรเลือกระบบ POS ที่เป็นเครื่อง All-in-one ที่แสดงผลฝั่งผู้ขายและลูกค้าได้ (อาจจะเป็น iPad พร้อมขาตั้งที่หมุนจอให้ลูกค้าตรวจสอบรายการสินค้า หรือ POS ที่มีหน้าจอฝั่งคนขายและลูกค้า) และเครื่องที่มีเครื่องพิมพ์ใบเสร็จในตัว เพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอยและลดงบประมาณในการซื้อระบบ POS กับอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สโตร์ฮับของเราก็จะมี StoreHub Android POS ที่มีเครื่องพิมพ์ใบเสร็จในตัวมาให้ใช้งานกันด้วย ส่วน iPad POS ก็สะดวกสบายและใช้งานง่ายเป็นอย่างมาก

3. ตั้งงบในการซื้อระบบ POS

อย่างที่ได้บอกไปว่าในปัจจุบันมีระบบ POS จากหลายค่ายให้เลือกใช้งาน ซึ่งก็มีทั้งเจ้าที่โดดเด่นในเรื่องของระบบ POS ร้านค้าปลีก เจ้าที่โดดเด่นในเรื่องของระบบ POS ร้านอาหาร และเจ้าที่โดดเด่นในเรื่องของระบบ POS แบบครบวงจรหรือ All-in-one โดยระบบ POS ที่ดีควรมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ร้านของคุณและรองรับธุรกิจ Omnichannel ที่มีทั้งหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ 

ส่วนในเรื่องของราคาก็ไม่ควรจะแพงเกินไป โดยปกติจะมีให้เลือกตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นเลยละ ซึ่งถ้าจะให้ง่ายที่สุด คุณควรที่จะตั้งงบไว้เลยว่าระบบ POS ราคาสมเหตุสมผลของคุณนั้นอยู่ที่เท่าไหร่ หรือว่าคุณสามารถใช้จ่ายไปกับเจ้าระบบนี้ได้เดือน/ปีละกี่บาทกันแน่ ทางที่ดีคุณควรลองดูสัญญาเช่าซื้อและเงื่อนไขการให้บริการของแต่ละเจ้าก่อนค่อยตัดสินใจเลือกจะได้ไม่เสียดายทีหลัง

4. เทียบราคาระบบ POS กับฟีเจอร์การใช้งานก่อนซื้อ

หลังจากที่ตั้งงบในการซื้อระบบ POS กันไปแล้ว คราวนี้คุณก็จำเป็นต้องเปรียบเทียบฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ ของแต่ละแบรนด์ เพื่อให้คุ้มค่าและได้โปรแกรมขายหน้าร้านที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด โดยฟีเจอร์หลัก ๆ ที่คุณต้องมองหาก็จะเป็นฟีเจอร์การจัดการสต๊อกสินค้า ฟีเจอร์การบริหารจัดการพนักงาน และฟีเจอร์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) 

ดูว่าระบบ POS ราคาที่ใกล้เคียงกัน มีค่ายไหนที่ให้ครบทั้ง 3 ฟีเจอร์หลักและเหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด อย่าลืมหาข้อมูลออนไลน์เพื่อดูรีวิวจากผู้ใช้งานจริงกับการบริการหลังการขายของแต่ละที่ด้วย เพราะหากคุณซื้อไปและเกิดปัญหา ก็จะได้ไม่โดนลอยแพ และบริษัทที่มีบริการหลังการขายดีจะคอยให้ความช่วยเหลือคุณและจะไม่มีวันปล่อยให้คุณเผชิญปัญหาการใช้งานเพียงลำพังเป็นอันขาด

5. ทดลองใช้งานระบบ POS ฟรี

เมื่อเปรียบเทียบราคาของระบบ POS จากแบรนด์หรือบริษัทต่าง ๆ และเกิดความสนใจในสินค้า ก็ต้องไปทดลองใช้งานสินค้าดู เพราะบางบริษัทจะเปิดให้รับชมสาธิตการใช้งานฟรี หรือแม้กระทั่งทดลองใช้งานฟรี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและการให้บริการอีกเช่นเคย 

แต่ที่พลาดไม่ได้คือ ขณะที่ทดลองใช้งานระบบ POS ฟรีนั้น คุณควรสังเกตการทำงานของระบบด้วยว่าลื่นไหลและใช้งานง่ายหรือไม่ เพราะถ้าหากตัวระบบช้าก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้านของคุณน้อยลง และถ้าหากเครื่องใช้งานยากจนเกินไป คุณก็อาจจะต้องเสียเวลาในการเทรนพนักงานมากยิ่งขึ้น

แล้วจะดีกว่าไหมละถ้าคุณได้ใช้งานระบบ POS ดีไซน์สวยทันสมัย ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ที่คุณต้องการครบ ที่สำคัญไม่ต้องเสียเวลาอบรมการใช้งานพนักงานทั้งวันด้วย เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้ระบบ POS จากค่ายไหนควรทดลองใช้งานและสังเกตการทำงานของตัวระบบให้ดี

สรุป

ระบบ POS ก็คือ โปรแกรมขายหน้าร้านหรือเครื่องคิดเงินสุดอัจฉริยะที่จัดการได้ครบตั้งแต่หน้าร้านไปจนถึงหลังร้าน โดยตัว POS นั้นย่อมาจาก Point of Sale และข้อดีของโปรแกรมนี้ก็คือ สามารถช่วยให้เจ้าของร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ และเจ้าของธุรกิจประเภทต่าง ๆ บริหารจัดการร้านได้ง่ายขึ้น

โดยฟีเจอร์หลัก ๆ ที่เจ้าของธุรกิจจะต้องมองหาเมื่อเลือกซื้อระบบ POS นั้นได้แก่ ฟีเจอร์การจัดการสต๊อกสินค้า ฟีเจอร์การจัดการพนักงาน และฟีเจอร์ CRM ที่ช่วยบริหารความสัมพันธ์ของร้านกับลูกค้า แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกระบบ POS ของค่ายใดค่ายหนึ่งมาใช้งานนั้น คุณในฐานะเจ้าของร้านต้องรู้ก่อนว่าร้านมีปัญหาอะไรและต้องใช้ฟีเจอร์ไหนในการแก้ไขบ้าง 

เมื่อรู้ปัญหาของร้านแล้วก็สามารถมองหาระบบ POS พร้อมฟีเจอร์โดนใจในราคาที่เป็นกันเองได้เลย ที่สำคัญอย่าลืมหาข้อมูลรีวิว ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง รวมถึงการบริการหลังการขายก่อนซื้อด้วย จะได้ไม่โดนเทเวลามีปัญหา และแน่นอนว่าคุณจะต้องทดลองใช้งานฟรีก่อน เพื่อดูว่าระบบ POS ที่คุณจะซื้อมาใช้งานที่ร้านลื่นไหลและใช้งานง่ายหรือไม่ เท่านี้ก็จะได้ระบบ POS เครื่องคิดเงินอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพมาช่วยดูแลร้านและเพิ่มยอดขายให้เติบโตมากขึ้นแล้ว และคุณก็จะไม่ปวดหัวกับการทำร้านอีกต่อไป

CTA - ระบบ POS สโตร์ฮับ โปรแกรมจัดการร้านค้าปลีกและร้านอาหาร

Share this Post

Hey there! Please enter your store name.

.storehubhq.com