การเปิดร้านค้าปลีกหรือเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีกนั้นจำเป็นต้องมีวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ยิ่งในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงแล้ว คุณยิ่งต้องมีแผนธุรกิจค้าปลีกที่ดี คือต้องศึกษาตลาด, กฎหมาย, ทำเล, งบประมาณ, สินค้า รวมถึงพนักงานขายหน้าร้านด้วย
อย่างไรก็ตาม การจะเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีกให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น คุณจะต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการร้าน โดยในปัจจุบันระบบ POS (point-of-sale system) หรือโปรแกรมขายหน้าร้านได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ผู้ประกอบการและเจ้าของร้านค้าทั้งหลาย
นั่นก็เพราะว่าระบบนี้มีฟังก์ชั่นสุดอัจฉริยะที่ครอบคลุมตั้งแต่การขายหน้าร้านไปจนถึงการจัดการระบบหลังบ้าน ช่วยให้ดูยอดขาย นับสต๊อกสินค้า ทั้งยังมีรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับร้าน ช่วยให้เจ้าของธุรกิจค้าปลีกวางแผนและตัดสินใจในการทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และข่าวดีก็คือ ! ระบบ POS สโตร์ฮับของเราก็มีครบทุกฟังก์ชั่นทั้งหมดนี้ แถมยังดีไซน์สวยทันสมัยและใช้งานง่ายสำหรับทุกคน
เกริ่นกันไปพอประมาณแล้ว คราวนี้เรามาเรื่องการเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีกดีกว่า รู้ไหมว่าคุณสามารถเปิดร้านค้าปลีกได้ง่าย ๆ ใน 10 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ :-
1. เขียนแผนธุรกิจค้าปลีก

ภาพจาก Freepik
การเขียนแผนธุรกิจค้าปลีก ถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นเปิดร้านค้าปลีกและช่วยสร้างแนวทางในการดำเนินธุรกิจของคุณได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณต้องแน่ใจว่าศึกษาการตลาดอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อจะได้รู้แนวทางการทำธุรกิจค้าปลีกของคุณให้ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า บริษัทที่เขียนแผนธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตมากกว่าบริษัทที่ไม่เขียนมากถึง 2 เท่า !
ในการเขียนแผนธุรกิจค้าปลีกที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย 9 อย่าง คือ
- บทสรุป (Executive Summary) – บอกถึงเป้าหมายของบริษัท ภารกิจ และทำไมธุรกิจค้าปลีกของคุณถึงจะประสบความสำเร็จ
- ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ (Company Description) – เป็นการวิเคราะห์ธุรกิจและนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจทั้งหมด บอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครอบคลุมและชัดเจน รวมถึงปัญหาที่กำลังเผชิญ วิธีการแก้ปัญหา กลุ่มลูกค้า และพนักงาน
- การวิเคราะห์การตลาด (Market Analysis) – เป็นการอธิบายแนวโน้ม แผนที่วางไว้ คู่แข่งที่ประสบความสำเร็จขายสินค้าหรือมีกลยุทธ์การตลาดแนวไหน และอะไรคือจุดแกร่งที่จะทำให้คุณเอาชนะคู่แข่งได้
- องค์กรและการบริหารจัดการ (Organisation and management) – ร่างออกมาว่าพนักงานของธุรกิจของคุณมีใครและพนักงานเหล่านั้นมีประสบการณ์ในการขายสินค้าหรือบริหารร้านค้าปลีกมากน้อยแค่ไหน
- ไลน์สินค้า (Product Line) – รวมสินค้าที่คุณจะขายเข้าไปในแผนธุรกิจด้วย เขียนอธิบายว่าทำไมสินค้าประเภทนี้ถึงเป็นที่ต้องการในท้องตลาด รวมถึงแสดงข้อมูลสินค้าที่คุณได้ศึกษามาด้วย
- การตลาดและการขาย (Marketing and Sale) – อธิบายถึงกลยุทธ์ที่คุณจะใช้ในการหาลูกค้าและรักษาฐานลูกค้า
- การกู้เงิน (Funding Requests) – หากคุณจำเป็นต้องกู้เงินธนาคารทำธุรกิจ ต้องเขียนอธิบายว่าคุณจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนั้นทำอะไรบ้าง และวางแผนจะจ่ายคืนเงินกู้ยังไง
- การประมาณทางการเงิน (Financial Projection) – แจงรายละเอียดว่าคุณมีแผนการยังไงที่จะทำให้ธุรกิจทำกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืน คืออย่างน้อยต้องประมาณการเงินได้ในระยะเวลา 5 ปี
- ภาคผนวก (Appendix) – ใช้พื้นที่ตรงนี้ในเสริมรายละเอียดต่าง ๆ อาจจะเป็นเอกสารเพิ่มเติมอย่างรูปแบบสินค้า รูปภาพ เครดิตย้อนหลัง ประวัติการจ่ายหนี้ที่ดี และใบอนุญาตประกอบธุรกิจค้าปลีก เป็นต้น
ในส่วนของวิธีเขียนแผนธุรกิจค้าปลีกที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น คุณอาจจะต้องศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือสามารถดูตัวอย่างแผนธุรกิจประเภทต่าง ๆ ได้ตามแหล่งให้ความรู้ต่าง ๆ ได้เลย
2. เลือกว่าจะบุกตลาดไหนและขายสินค้าประเภทใด

ภาพจาก Freepik
ในการทำธุรกิจค้าปลีกให้ประสบความสำเร็จ คุณจะต้องเลือกตลาดและดูว่าจะขายสินค้าประเภทไหน โดยวิธีนี้จะช่วยให้ร้านค้าปลีกของคุณแตกต่างจากคู่แข่งได้ ถ้าสังเกตดี ๆ เว็บใหญ่ ๆ อย่าง Amazon, Alibaba, Lazada หรือ Shopee นั้นมีการแข่งขันที่ดุเดือดมาก หรือตามห้างดัง ๆ ก็มักจะขายสินค้าแนวคล้าย ๆ กัน ดังนั้นการเลือกขายสินค้าที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์จะช่วยให้ร้านของคุณดึงดูดลูกค้าได้ง่ายขึ้น นั่นก็เพราะว่าร้านของคุณมีสินค้าที่แตกต่างและไม่ซ้ำใคร และหากไม่รู้ว่าจะขายสินค้าอะไรในธุรกิจค้าปลีกของคุณ ก็สามารถเลือกได้จาก 3 หลักการดังนี้ :-
- เลือกจากงานอดิเรกและความสนใจของคุณ – ในฐานะเจ้าของธุรกิจค้าปลีกต้องใช้เวลาในการเลือกสินค้าและตลาดอยู่แล้ว ดังนั้นทำไมไม่ลองเริ่มจากสิ่งที่คุณชอบหรือรักดูล่ะ ? อีกอย่างหากคุณเลือกขายในสิ่งที่คุณสนใจ ร้านของคุณก็จะดูเรียลและน่าสนใจมากขึ้นด้วยนะ
- ศึกษาความเป็นไปได้ – ต้องแน่ใจว่าคุณเลือกสินค้าที่จะทำรายได้ให้กับคุณจริง ๆ อาจจะเริ่มจากหาข้อมูลใน Google Trend หรือเริ่มจากหาข้อมูลจากช่องทาง Social Media ของคู่แข่งก็ได้
- หาข้อมูลเรื่องรายได้และกำไร – ดูว่าสินค้าที่จะขายแต่ละประเภทและกลุ่มลูกค้าจากตลาดที่จะบุกนั้นจะทำรายได้ให้กับธุรกิจค้าปลีกของคุณได้มากเท่าไหร่ อาจจะหาข้อมูลสถิติหรือสินค้าขายดีจากเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซก็ได้
3. เลือกว่าจะทำธุรกิจรูปแบบไหน

ภาพจาก Freepik
การเลือกโครงสร้างธุรกิจหรือเลือกว่าจะเปิดรูปแบบไหนก็ถือว่าสำคัญเช่นกัน เพราะสิ่งนี้จะส่งผลต่อการเสียภาษี การทำบัญชีส่งกรมสรรพากร รวมถึงภาระหนี้สินของคุณด้วย ซึ่งในการทำธุรกิจค้าปลีกนั้นผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะเปิดร้าน 4 แบบด้วยกันคือ
- เจ้าของกิจการคนเดียว – จัดการและดำเนินการทุกอย่างโดยเจ้าของคนเดียวทั้งหมด มีอิสระในการตัดสินใจ และมีข้อบังคับทางกฎหมายน้อย
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ – มีเจ้าของตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หุ้นส่วนทุกคนมีส่วนรับผิดชอบร่วมกัน สามารถเลือกจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้
- หุ้นส่วนจำกัด – จะต้องจดทะเบียนธุรกิจ หากต้องการดำเนินการใด ๆ ต้องทำในนามของหุ้นส่วน มีทั้งหุ้นส่วนแบบจำกีดความรับผิดชอบและหุ้นส่วนแบบไม่จำกัดความรับผิดชอบ
- บริษัทจำกัด – มีผู้ร่วมทุนอย่างน้อย 3 คน แบ่งเป็นส่วนต่าง ๆ เรียกว่า “หุ้น” ความรับผิดชอบของผู้ถือหุ้นจะเท่ากับจำนวนหุ้นที่ถือ มีเป้าหมายคือ หาผลกำไรมาแบ่งกัน
อย่างไรก็ตาม การเลือกทำธุรกิจทุกประเภทย่อมีข้อดี–ข้อเสียที่ต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นคุณควรทำการบ้านและศึกษาข้อมูลในส่วนนี้ให้ละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน จะได้ไม่เสียดายทีหลัง
4. บริหารจัดการงบประมาณ

ภาพจาก Freepik
ในการเปิดร้านหรือทำธุรกิจใด ๆ คุณจำเป็นต้องแยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีธุรกิจของคุณอย่างชัดเจนตั้งแต่เริ่มแรก เพราะเมื่อคุณมีบัญชีธุรกิจร้านค้าแยกแล้ว คุณจะติดตามค่าใช้จ่ายในส่วนต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น ทั้งยังช่วยวางแผนจัดการเงินและจ่ายภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย
แล้วอย่างนี้ต้องทำยังไงถึงจะติดตามรายจ่ายของร้านได้อย่างละเอียดทั่วถึง ? เรามีข้อแนะนำให้คุณ 3 ข้อดังนี้
- ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย – เพื่อดูรายได้และค่าใช้จ่ายของร้านพร้อมกับดูแนวโน้มการเติบโตของร้านได้ง่ายขึ้น
- หาข้อมูลธนาคาร – เลือกธนาคารที่มีค่าธรรมเนียมถูกและต้องเป็นธนาคารที่ต้องอยู่ใกล้ร้านหรือบ้านคุณเท่านั้น เพราะเมื่อทำธุรกิจค้าปลีกหรือว่าเปิดร้านค้าแล้ว ยังไงคุณก็จะต้องฝากเงินสดหรือแลกเงินไว้ใช้ในร้านอยู่แล้ว ดังนั้นการเลือกธนาคารที่อยู่ใกล้จึงจะช่วยอำนวยความสะดวกได้ดียิ่งขึ้น
- ลงทุนกับโปรแกรมขายหน้าร้าน – สำหรับธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กแล้ว โปรแกรมขายหน้าร้านอย่างระบบ POS ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าระบบนี้จะช่วยคำนวณยอดขายได้อย่างแม่นยำ พร้อมบอกมูลค่าสต๊อกสินค้าในร้าน ทั้งยังบอกอีกว่าสินค้าไหนขายดีหรือไม่ดี คุณจึงคำนวณค่าใช้จ่ายและวางแผนบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนในร้านได้ง่ายขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันเจ้าของร้านค้าปลีกและผู้ประกอบการธุรกิจ SME จะหันมาใช้งานระบบ POS นี้กันหมดแล้ว ถ้าจะให้ดี ควรเลือกใช้ระบบ POS ที่ทำงานร่วมกับโปรแกรมบัญชี QuickBooks หรือโปรแกรมบัญชีอื่น ๆ ได้อย่างยอดเยี่ยมอย่าง StoreHub POS เพื่อให้การคำนวณของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5. มีงบเพียงพอในการลงทุน

ภาพจาก Unsplash
ในการเปิดร้านหรือเริ่มต้นทำธุรกิจค้าปลีก คุณจำเป็นต้องมีเงินทุนพอประมาณ ไหนจะต้องเซ็นสัญญาเช่าร้าน ไหนจะตกแต่งรีโนเวทภายใน ไหนจะซื้อสินค้าเข้าร้าน แล้วไหนจะต้องซื้ออุปกรณ์ขายร้านค้าปลีกอย่างการติดตั้งระบบ POS เครื่องปริ้นต์ใบเสร็จ เครื่องสแกนบาร์โค้ดสินค้า หรือแม้แต่โปรโมทร้านให้เป็นที่รู้จัก แล้วยังมีค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านกับค่าจ้างพนักงานอีก ฟังดูแล้วต้องใช้งบเยอะเลยใช่ไหมล่ะ ? ใช่แล้วล่ะ เพราะจริง ๆ แล้วคุณต้องมีงบเยอะพอสมควรจึงจะเปิดร้านค้าหรือเริ่มต้นทำธุรกิจค้าปลีกได้
อย่างไรก็ตามงบที่ต้องใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของธุรกิจของคุณด้วย โดยหลัก ๆ แล้วน่าจะอยู่ที่อย่างน้อย 50,000 – 100,000 บาท ซึ่งถ้าคุณจำเป็นต้องกู้เงินธนาคารก็ต้องพิจารณาทั้ง
- ความยาก-ง่ายในการยื่นกู้เงินธนาคาร
- เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่น
- อัตราดอกเบี้ยธนาคาร
- วงเงินที่กู้ได้
- หลักทรัพย์ค้ำประกัน
แต่ละธนาคารก็อาจจะมีข้อกำหนดและเงื่อนไขแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นควรหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดและสอบถามผู้รู้ที่เคยมีประสบการณ์กู้เงินธนาคารมาก่อนจะดีกว่า
6. เลือกทำเลในการทำธุรกิจค้าปลีก

ทำเลคือส่วนสำคัญในการเปิดร้านและทำธุรกิจทุกประเภท และผู้ประกอบการมือใหม่หลายคนก็อาจจะยังไม่รู้ว่าต้องเริ่มจากตรงไหนและอาจจะมีคำถามที่ว่า
“ต้องเริ่มจากตรงไหน”
“ต้องเลือกทำเลแบบไหนถึงจะขายดีมีกำไร”
ในการเลือกทำเลเปิดร้านหรือทำธุรกิจค้าปลีกเล็ก ๆ คุณจำเป็นต้องมองหาตัวเลือกเยอะ ๆ แล้วค่อย ๆ ตัดตัวเลือกออกทีละตัวโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายตามหลักการต่อไปนี้ :-
- วิเคราะห์การจราจรทางเท้า – เลือกทำเลหรือโลเคชั่นที่มีโอกาสดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด คือเลือกพื้นที่ที่มีกลุ่มลูกค้าเดินผ่านไปมาทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง
- พูดคุยกับเพื่อนบ้านข้าง ๆ – คุยกับผู้ให้เช่าและเพื่อนบ้านเพื่อให้เข้าใจพื้นที่ตรงนั้นได้มากที่สุด เริ่มจากแนะนำตัวเองและชวนพวกเขาไปดื่มกาแฟหรือทานข้าวเพื่อเป็นการผูกมิตร จากนั้นก็ถามคำถามได้เลย เช่น ผู้เช่ามีวิธีเก็บค่าเช่ายังไง, ดูแลพื้นที่ยังไง, ทำไมผู้เช่าก่อนหน้านี้ถึงย้ายออก และช่วงเวลาที่คนพลุกพล่านมากที่สุดคือตอนไหน เป็นต้น
- พิจารณาที่จอดรถ – ควรเลือกหน้าร้านที่มีที่จอดรถให้ลูกค้าด้วยเพราะที่จอดรถก็เป็นสิ่งสำคัญที่ลูกค้าจะพิจารณาก่อนมาซื้อของที่ร้านคุณ เพราะหากพวกเขาต้องจอดรถริมถนนหรือใช้เวลาเดินจากที่จอดรถมาร้านมากเกินไป ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณก็อาจจะถอดใจและกันไปช้อปปิ้งร้านอื่นแทนก็ได้
7. เลือกแผนผังร้านและป้ายสินค้า

ภาพจาก FitSmallBusiness
ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจค้าปลีกหรือร้านค้าประเภทไหน คุณก็จะต้องเลือกรูปแบบแผนผังร้านหรือดีไซน์ภายในร้านอยู่แล้ว และแผนผังร้านก็ส่งผลกระทบต่อยอดขายในร้านได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจงเลือกแผนผังอย่างมีกลยุทธ์ คือ ต้องเป็นแผนผังที่ลูกค้าเข้ามาแล้วรู้สึกสบายใจที่จะซื้อของและแผนผังสินค้าก็ต้องดูสวยงาม เป็นระเบียบ เพื่อให้ลูกค้าหาสินค้าที่ต้องการง่ายยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้วแผนผังร้านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็กก็มี 3 แบบ ดังนี้ :-
- แผนผังแบบ Loop หรือ Racetrack – เหมาะกับร้านที่โฟกัสขายสินค้าแค่ประเภทใดประเภทหนึ่ง เช่น Toy ‘R’ Us ร้านของเล่นเด็ก, Victoria’s Secret ร้านขายชุดชั้นใน น้ำหอม และโลชั่นสำหรับสาว ๆ และ Nike ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาสำหรับคนรักสุขภาพ เป็นต้น
- แผนผังแบบ Grid หรือ Straight – นิยมกันในร้านขายของชำหรือร้านขายส่งสำหรับร้านขายของชำอีกที
- แผนผังแบบ Free Flow Plan – แผนผังยอดนิยมสำหรับร้านขายเสื้อผ้าเพราะเป็นดีไซน์ที่ไม่จำกัดและช่วยให้ผู้ออกแบบปลดปล่อยไอเดียสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ 95% ของลูกค้ายังไม่ชอบให้มีคนเดินตามเวลาเลือกซื้อสินค้า เพราะฉะนั้นคุณจึงจำเป็นต้องติดตั้งป้ายสินค้าและป้ายประเภทสินค้าอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าเดินเลือกซื้อของได้ง่ายและเพลินกับการเดินช้อปมากยิ่งขึ้น
8. เลือกซื้อระบบ POS และติดตั้งเพื่อใช้งานในร้าน

การเลือกระบบ POS ร้านค้าปลีกถือเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่คุณต้องไตร่ตรองให้ดี เพราะระบบ POS เป็นโปรแกรมที่จะช่วยให้การขายของและบริหารจัดการร้านง่ายยิ่งขึ้นด้วยฟีเจอร์สุดล้ำที่ตอบโจทย์ร้านค้าปลีกได้อย่างครอบคลุม ซึ่งระบบ POS สโตร์ฮับของเราก็ถือว่าเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับร้านค้าปลีกในไทย* เช่นกัน เพราะมาพร้อมฟังก์ชั่นการทำงานอัจฉริยะเพียบ เช่น การซื้อ-ขาย, รายงานยอดขาย, ติดตาม-นับสต๊อก, ระบุสินค้าขายดี, ติดตามการทำงานของพนักงาน, และแจ้งเตือนเมื่อสต๊อกสินค้าเหลือน้อย เป็นต้น
อย่างไรก็ตามในการเลือกระบบ POS ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจค้าปลีกของคุณนั้น คุณสามารถพิจารณาได้จากสิ่งต่อไปนี้ :-
- ราคา – ระบบ POS ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกใช้งานแบบรายเดือน อย่าง StoreHub POS ของเราก็เริ่มต้นที่เดือนละ 499 เท่านั้น หรือบางเจ้าก็มีอุปกรณ์ให้เลือกซื้อและจ่ายแบบผูกขาด คือจ่ายครั้งเดียวแล้วใช้ได้ตลอด ไม่ต้องมาซื้อรายเดือนอีก แต่หากจะเลือกแบบหลังต้องระวังเรื่องบริการหลังการขายด้วย เพราะหากเครื่องมีปัญหาก็อาจจะไม่มีใครคอยดูแลหรือช่วยแก้ปัญหา
- ขั้นตอนการติดตั้ง – เลือกระบบ POS ที่ติดตั้งได้ไม่กี่ขั้นตอนหรือติดตั้งฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าจะให้ดีควรเลือกจากผู้ขายที่มีสาธิตการใช้งานและติดตั้งให้ด้วย
- ระบบจัดสต๊อกสินค้า – ระบบ POS ที่ดีควรจะตัดสต๊อกอัตโนมัติเมื่อขายสินค้า มีการแจ้งเตือนเมื่อสต๊อกเหลือน้อย และสั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ได้โดยตรง เพื่อช่วยประหยัดเวลาให้กับเจ้าของธุรกิจค้าปลีกเช่นคุณ
- CRM หรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า – ฟีเจอร์และราคาระบบ POS ควรจะสอดคล้องกัน และไม่ว่าระบบ POS ราคาไหนก็ควรมีระบบ CRM เพื่อบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า คุณจะได้หาลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาลูกค้าประจำไว้ได้ เพราะเราต่างก็รู้ดีว่า ลูกค้าคือหัวใจสำคัญของธุรกิจของคุณ โดยระบบ POS ที่ดีที่สุดควรจะมี loyalty program มีการเก็บประวัติการซื้อของของลูกค้าและช่องทางการติดต่อ คุณจะได้ส่งตรงโปรโมชั่นสินค้าโปรดของลูกค้าไปยังเบอร์มือถือของพวกเขาได้ทันที
- เชื่อมต่ออีคอมเมิร์ซ – ปัจจุบันกระแสขายของออนไลน์มาแรงและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญในการขายของให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน คุณจะต้องมีร้านค้าปลีกออนไลน์และออฟไลน์ จึงจะตอบสนองความต้องการลูกค้าและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับพวกเขาได้ ดังนั้นฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซจึงเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่คุณควรมองหาเมื่อเลือกซื้อระบบ POS
9. จ้างและเทรนพนักงาน

ก่อนจะเปิดร้านและเปิดกิจการค้าปลีกของคุณอย่างเป็นทางการ คุณจะต้องมีพนักงานคุณภาพที่มีประสบการณ์หรือพร้อมที่จะเรียนรู้และเติบโตไปกับธุรกิจของคุณ เพราะร้านของคุณจะดำเนินการไปได้ยากหากขาดพนักงานคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำลูกค้าเวลาเลือกซื้อของ เพราะฉะนั้นคุณควรมีทีมงานที่พร้อมทั้งความรู้ รักการบริการ และผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี ซึ่งในข้อนี้ก็มี 2 เรื่องที่คุณควรคำนึง
- การจ้างพนักงาน – หากคุณกำลังมองหาพนักงาน ควรเริ่มจากการประกาศหางานกับแหล่งที่น่าเชื่อถือ อย่าลืมติดป้ายประกาศหน้าร้าน รวมถึงประชาสัมพันธ์ตามช่องทาง Social Media ของร้านด้วย ในส่วนของการเขียนขอบข่ายงาน ก็ควรระบุคุณสมบัติ เงินเดือน และสวัสดิการต่าง ๆ ให้ชัดเจน
- เทรนพนักงาน – อบรมพนักงานให้มีใจรักในบริการ จะได้มั่นใจว่าพวกเขาพร้อมจะดูแลลูกค้าของคุณจริง ๆ อาจจะจัดเป็นทริปสัมนาหรือเวิร์กช็อปเล็ก ๆ ก่อนให้พวกเขาเริ่มงานจริงก็ได้ และคุณจะต้องบอกพนักงานให้ละเอียดชัดเจนในเรื่องของการให้บริการลูกค้า ความคาดหวัง และนโยบายของร้าน
10. วางแผนเปิดร้านอย่างมืออาชีพ

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว คราวนี้ก็ถึงคราวต้องเปิดร้านจริงจังสักที และเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น คุณจำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด จะได้เปิดร้านอย่างมืออาชีพและเป็นที่จดจำในกลุ่มลูกค้า โดยคุณจะต้อง
- วางแผนล่วงหน้า – ดูว่าวันเปิดร้านคุณจะเชิญใครบ้าง ลิสต์รายชื่อแขกออกมาให้หมด ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้แต่คู่ค้า เมื่อถึงวันเปิดร้านอย่างเป็นทางการก็ถ่ายรูปลงโซเชียลของร้านและฝากคนร่วมงานแชร์เพื่อให้ร้านของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์
- ร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่น – หมดยุคของการแข่งขันในวงการธุรกิจค้าปลีกรายย่อย มีแต่การช่วยเหลือกันและร่วมมือกัน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเปิดฟิตเนส สปา หรือธุรกิจประเภทไหนก็ตาม เมื่อคุณมีพาร์ทเนอร์หรือร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง พวกเขาก็สามารถบอกต่อร้านของคุณกับลูกค้าเช่นกัน
- จัดจำหน่ายสินค้าพิเศษ – วันเปิดร้านคือวันพิเศษและสำคัญกับคุณมากใช่ไหมล่ะ แล้วทำไมไม่ลองหาสินค้า Limited Edition มาวางขายในวันนั้นดู รับรองว่ากระแสตอบรับดีเกินคาดแน่นอน แล้วอีกอย่างสินค้า Limited Edition ยังช่วยดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านและสร้างความสนใจให้แขกมากร่วมงานได้ดีขึ้นด้วย
สรุป
จบกันไปแล้วกับ 10 ขั้นตอนในการทำธุรกิจค้าปลีก คราวนี้ก็ถึงตาคุณแล้วว่าพร้อมที่จะเดินหน้าไปยังอีกก้าวสำคัญในชีวิตหรือยัง อย่างไรก็ตาม การเปิดร้านค้าหรือเริ่มต้นทำธุรกิจค้าปลีกเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาวางแผนล่วงหน้าเป็นปี ๆ เพราะฉะนั้นอย่าใจร้อนเป็นอันขาด แต่ให้ใช้เวลาวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบในแต่ละขั้นตอน เพราะสิ่งนี้จะเป็นแนวทางสำคัญที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จนั่นเอง
และหากคุณยังไม่รู้ว่าต้องเลือกใช้ระบบ POS ร้านค้าปลีกไหน ก็สามารถทดลองใช้งานสโตร์ฮับฟรี 14 วัน ! แล้วคุณจะจัดการร้านค้าปลีกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแน่นอน ให้ระบบ POS สโตร์ฮับของเราจัดการการขายหน้าร้านและระบบหลังบ้านแทนคุณสิ แล้วคุณจะลดปัญหาปวดหัวลงไปได้เยอะแน่นอน !
