
ขายดีบนออนไลน์: Social Media ที่ร้านค้าต้องมี
คุณเป็นเจ้าของร้านอาหารหรือธุรกิจค้าปลีกในไทยที่อยากขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายใช่ไหม? โซเชียลมีเดียคืออาวุธลับยุคใหม่ที่เจ้าของ SME ไทยนำมาใช้พลิกธุรกิจให้โตเร็วและมีกำไรมากขึ้น – แต่แทนที่จะโพสต์มั่วหรือเลือกทุกแพลตฟอร์มโดยไม่วางแผน จุดเปลี่ยนจริงอยู่ที่ “การเลือกใช้แต่ละแพลตฟอร์มให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและเป้าหมายธุรกิจของคุณ”
บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อ SME ไทยที่เน้นผลลัพธ์และการลงมือทำ คุณจะได้รู้:
- จุดเด่นและข้อแตกต่างของ Facebook, Instagram, YouTube, และ LINE – พร้อมกลุ่มเป้าหมายแต่ละช่องทาง (อ้างอิงจาก Thailand Business News และ Meltwater)
- กลยุทธ์สร้างแบรนด์, lead, conversion, วิเคราะห์คู่แข่ง และประสบการณ์กรณีศึกษาในแบบที่ SME ทำตามได้เลย
- คำแนะนำตรงจุดสำหรับเจ้าของร้านที่อยากเพิ่มรายได้ ลดเวลา และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่เจอกันบ่อย
ถ้าคุณอยากให้โซเชียลมีเดียสร้างยอดขาย ไม่ใช่แค่ยอดไลค์ บทความนี้คือคู่มือจริงสำหรับคุณ และ StoreHub พร้อมช่วยผลักดันธุรกิจของคุณด้วยโซลูชันแบบ All-in-one ตั้งแต่ POS, ระบบสต็อก, QR Order & Pay, Loyalty, ร้านค้าออนไลน์ และเครื่องมือวิเคราะห์ที่ SME ไทยใช้งานได้จริง
What You’ll Learn:
- เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจไทย
- ใช้ Social Media สร้าง Brand Awareness และ Engagement ที่จับต้องได้
- กลยุทธ์ Social Commerce: นำพา Leads – Conversion – ปิดการขายบนโซเชียล
- ใช้ Social Media วิเคราะห์คู่แข่ง ปรับกลยุทธ์ตาม Insight
- สร้าง Branding ให้ชัดเจนบน Social Media: ตัวอย่างการเล่าเรื่องและเลือก Visual
- FAQ: ใช้หลายแพลตฟอร์มพร้อมกันดีไหม? เริ่มต้นยังไงถึงไม่พลาด?
เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจไทย
สิ่งที่ SME ส่วนใหญ่เจอกันประจำ คือ “ตั้งเพจไว้ทุกแพลตฟอร์มแต่ไม่มีเวลา/คนทำคอนเทนต์ หรือโพสต์แบบไม่วางแผน” ผลลัพธ์คือเสียทั้งเวลาและงบ ไม่ได้ลูกค้าที่ใช่
หัวใจสำคัญคือ “เลือกใช้แพลตฟอร์มที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณอยู่จริง” แล้วเจาะให้สุด – ลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มโอกาสปิดการขายในตลาดไทย
เจาะจุดเด่นและกลุ่มเป้าหมายของ 4 แพลตฟอร์มหลัก
- Facebook:
- ครองแชมป์โซเชียลในไทย มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน (91% penetration) – กลุ่มอายุ 18-50 ปีขึ้นไป ทั้งวัยทำงาน พ่อแม่เจ้าของกิจการ และกลุ่มมีกำลังซื้อ
- เหมาะกับ F&B ร้านค้าปลีก ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ
- ตัวอย่าง: ร้านอาหารที่ใช้ Facebook Page + Facebook Ads โปรโมทเมนูใหม่ จัดแคมเปญส่งท้ายหรือบูสต์โพสต์รีวิวพร้อมลิงก์สั่งอาหารปังแน่นร้าน
- Instagram:
- กลุ่มคนรุ่นใหม่และเจเนอเรชันวาย (18-35 ปี) – แฟชั่น ร้านกาแฟ ร้านขนม สินค้าสุขภาพ ความงาม ไลฟ์สไตล์
- สายภาพลักษณ์ สินค้าสวย อาหาร Instagrammable จะเหนือกว่าแพลตฟอร์มอื่น
- อินฟลูเอนเซอร์ช่วยรีวิว Boost Brand Awareness ได้เร็ว
- YouTube:
- วิดีโอกินใจ เด่นชัดในกลุ่ม 18-45 ปี – เหมาะกับร้านที่สร้างคอนเทนต์สอนทำอาหาร รีวิวสินค้า บรรยากาศร้านใหม่ หรือเล่าเรื่องเบื้องหลังธุรกิจ
- 47.6 ล้านคนเข้าถึงผ่าน YouTube Ads (66.4% ของประชากรไทย) ข้อมูล 2024
- LINE:
- ครอบคลุมทั้งกลุ่มเด็ก-วัยทำงาน-ผู้สูงอายุ (เป็นโซเชียลหลักของไทย)
- ร้านค้าที่ต้องการ Broadcast ข้อความ แจ้งโปรฯ ส่งคูปอง หรือแชทปิดการขายกับลูกค้าโดยตรง LINE OA คืออาวุธสำคัญ
- เหมาะกับร้านอาหารเดลิเวอรี เครื่องสำอาง คลินิก สินค้ากลุ่มฟังก์ชันที่ลูกค้าอยากสอบถามแบบส่วนตัว
สังเกตว่าแต่ละแพลตฟอร์ม “มีคาแรกเตอร์” ห้ามเลือกแค่เพราะคู่แข่งทำหรือคนรอบข้างพูดว่า ‘ต้องมีทุกช่อง!’ ลูกค้าของคุณใช้แพลตฟอร์มไหนเป็นหลัก – ไปให้สุดที่นั่น
เช่น ร้านคาเฟ่สายรูปสวย ลง IG เน้นรูป Story – แต่ถ้าเปิดรับ Walk-in/เดลิเวอรีขึ้น Facebook Ads ยิงโปรถึงกลุ่มทำงานระแวกนั้น ส่วนร้านที่ลูกค้าถามข้อมูลประจำ LINE OA คือเครื่องมือปิดการขายเร็วสุด

ใช้ Social Media สร้าง Brand Awareness และ Engagement ที่จับต้องได้
หลายร้านค้าคิดว่าแค่โพสต์รายวันก็พอ… แต่ความจริงถ้าคงที่ “ภาพ/ข้อความ/วิดีโอ” แบบไม่มีแผน ผลตอบรับจะตกทันที ต่อให้จ่ายโฆษณามากแค่ไหนก็เสียเปล่า
ต้องวาง กลยุทธ์เนื้อหา (Content Strategy) ให้ตอบโจทย์ Customer Journey จริง
วางกลยุทธ์เนื้อหาแต่ละแพลตฟอร์ม: เจาะกลุ่ม เข้าถึงง่าย สร้าง Engagement
- Facebook:
- ทดลองคอนเทนต์ทั้งแบบภาพ/วิดีโอ/โพสต์ข้อความ/Live สด ตามสิ่งที่ลูกค้าชอบ
- ใช้ Facebook Ads กำหนด target ยิงเฉพาะ zone, เพศ, อายุ หรือความสนใจได้ (เช่น “อาหารอิสลาม/อาหารสุขภาพ” เฉพาะในกรุงเทพฯ)
- สร้าง Poll หรือ Q&A ให้ลูกค้าร่วมสนุก รับส่วนลด ทำให้ลูกค้า “มีส่วนร่วม” มากกว่าการรับสาร
- Instagram:
- ใช้ Reels หรือ Story เน้นภาพเคลื่อนไหว รีวิวลูกค้า หรือเบื้องหลังร้านที่คนอยากรู้อยู่แล้ว
- Seasonal Hashtag เช่น #cafehoppingbangkok ติดได้ทั้งที่โพสต์และ Story
- ตัวอย่าง: ร้านเสื้อผ้าที่ขายบน IG สร้าง Visual Storytelling ที่ชัดเจนในทุกภาพ
- YouTube:
- วิดีโอยาว/สั้นแบ่งความรู้ แชร์เคล็ดลับ หรือสัมภาษณ์ลูกค้าประจำ – ดูซ้ำได้, เพิ่ม SEO ด้วยคำค้นสินค้า/ร้านในคลิปด้วย
- ร้านที่ถ่ายเมนู หรือสอนวิธีใช้สินค้าผ่านคลิป YouTube มีโอกาสสร้าง Backlink กลับมาที่ร้านค้าออนไลน์ ได้ leads ตรง
- LINE:
- ฟีเจอร์ LINE Broadcast ส่งโปร/คูปองตรงถึง smartphone ลูกค้า (Push Notification อัตราเปิดอ่านสูงกว่าทุกช่องทาง)
- ตอบแชท Realtime – ใช้แอดมินหรือระบบตอบอัตโนมัติ เช่น StoreHub’s integration with LINE OA ที่ผูกข้อมูลออเดอร์และ Loyalty ได้เลย
จุดเปลี่ยนจริง: “สร้างปฏิสัมพันธ์” ต่อเนื่อง สร้างความคุ้นเคยจนลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของคุณคือคนรู้จัก ไม่ใช่ร้านค้าทั่วไป
โปรดจำไว้ว่า “เมนูเด็ด ข้อความโดน รูปภาพสวย” ช่วยให้คนจดจำ เพิ่ม Brand Recall ทำให้กลับมาซื้อซ้ำและบอกต่อในวงกว้าง
กลยุทธ์ Social Commerce: นำพา Leads – Conversion – ปิดการขายบนโซเชียล
จากเดิม Social Media ใช้แค่สร้างกระแส – แต่ SME ที่โตเร็วในปี 2024+ ล้วนเอาแพลตฟอร์มเหล่านี้มา “เปลี่ยนยอดไลค์เป็นยอดขาย” Social Commerce เป็นโอกาสทองร้านค้าทุกขนาด
วิธีเชื่อมโยงและปิดการขายบนแต่ละแพลตฟอร์ม
- Facebook:
- ตั้ง Facebook Shop ซิงค์สินค้ากับร้านออนไลน์ StoreHub ได้เลย – ลูกค้ากดเลือก-จ่าย-รับโปร-รับแต้มได้ใน 1 Click
- ใช้ฟีเจอร์ “ส่งข้อความหาเพจ” (Facebook Messenger) ผูกกับ StoreHub CRM สำหรับเก็บ Leads รีบร้อนปิดดีล
- ยิงแคมเปญ Facebook Lead Ads แล้วดึงอีเมล/เบอร์มือถือเข้าสู่ระบบ Loyalty ของ StoreHub อัตโนมัติ
- Instagram:
- Tag สินค้าในรูป โอนลูกค้าเข้า IG Shop หรือดึงลิงก์ร้านค้า E-Commerce (StoreHub’s e-store) ที่ bio
- Story พร้อมปุ่ม Call-to-Action เช่น “สั่งเลย รับคูปอง 50฿” ให้แชทเข้าออโต้ตอบแบบ Chat Commerce ลด drop-off
- YouTube:
- แนบลิงก์สินค้ากับวิดีโอ (Description หรือ End Screen) ให้ผู้ดูคลิกเชื่อมต่อร้านออนไลน์ของคุณได้ทันที
- โฆษณาที่ Custom Target ตามเพศ/ช่วงอายุ/เขตพื้นที่ เพิ่มแคมเปญ Awareness หรือ Conversion
- LINE:
- ใช้ฟีเจอร์ Order & Pay จาก StoreHub เชื่อมกับ LINE OA – ลูกค้าสั่งอาหาร/จ่าย ได้จบในมือถือเลย
- Push บัตรสมาชิก (Loyalty) และโปรโมชั่นแบบ Personalized เช่น “ลูกค้าชื่อ A รับส่วนลดวันเกิดอัตโนมัติ”
ใช้ Data/Insight เพื่อปรับปรุง Conversion Rate จริง
- ตรวจสอบยอดอินบ็อกซ์ จำนวนคลิก และ drop-off point ผ่าน StoreHub’s Reporting & Analytics ควบคู่กับข้อมูลจากแต่ละแพลตฟอร์ม
- ทดลองข้อความใหม่ เปลี่ยนภาพสินค้า หรือปรับราคาแบบ Dynamic Pricing เพื่อกระตุ้นยอดขายช่วงที่ลูกค้าแอคทีฟที่สุด
- ส่ง SMS/LINE คูปองถึงลูกค้าที่ “กดแต่ไม่จ่ายเงิน” กระตุ้น conversion เพิ่มขึ้นแบบวัดผลได้
การเชื่อมระหว่างโซเชียลกับระบบหลังบ้านธุรกิจ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องคนหล่นหาย ลดเวลา admin จัดการออเดอร์ เพิ่มโอกาสปิดการขายแบบทันที

ใช้ Social Media วิเคราะห์คู่แข่ง ปรับกลยุทธ์ตาม Insight
โซเชียลมีเดียเป็น “ขุมทองไอเดีย” ของร้านค้าคู่แข่ง ถ้าคุณรู้จักสังเกตและนำ Data มาใช้ – SME ไทยที่ประสบความสำเร็จ มักดูว่าคู่แข่งลงแคมเปญอะไร ลูกค้ามีปฏิกิริยายังไง แล้วนำมาปรับใช้แบบเร็วทันสถานการณ์
วิธีวิเคราะห์ Insight จากแต่ละแพลตฟอร์ม
- ฟีเจอร์ Analytics/Insight:
- Facebook Page Insights หรือ StoreHub’s Reporting ดูยอด reach, engagement, ดีที่สุดโพสต์ไหน, ช่วงเวลาลูกค้าออนไลน์สูงสุด
- Instagram Insights วิเคราะห์ story/โพสต์ที่ยอด impression สูง ดูแฮชแท็กที่ได้ผลจริง
- YouTube Analytics เจาะเจนว่าคลิปไหน CTR สูง, Retention ดี จุดไหนคนกดออก – เอา Data ปรับเนื้อหาและ Call-to-Action ในคลิปต่อๆ ไป
- LINE OA Analytics ดู open rate, block rate กับแต่ละ Broadcast – เอา insight ไป Segment ลูกค้า
- วิธีฟังเสียงลูกค้าและคู่แข่ง:
- อ่านคอมเมนต์/รีวิวทั้งร้านตัวเองและร้านแข่งเพื่อจับ Pain point ใหม่ๆ หรือเทรนด์ที่กำลังมาใน line of business
- ปรับ content หรือโปรโมชั่นแบบ real-time ไม่ต้องรอหลายสัปดาห์
- การปรับกลยุทธ์ทันเทรนด์:
- ถ้าคู่แข่งลงคอนเทนต์แนวใหม่แล้ว Engagement พุ่ง คุณควรทดลองกับลูกค้าตัวเอง อย่ารอแต่คอนเทนต์แนวเดิม
- นำ Report จาก StoreHub และโซเชียลมาเปรียบเทียบ เช่น ยอดขายแคมเปญ Facebook x ยอด Walk-in ขายดีช่วงไหน
การกู้ Data และนำมาปรับจริง จะช่วยให้ใช้ Budget ต่ำสุดแต่ผลลัพธ์สูง เพิ่มรายได้และลดของเสียในแต่ละแคมเปญ
สร้าง Branding ให้ชัดเจนบน Social Media: ตัวอย่างการเล่าเรื่องและเลือก Visual
ภาพลักษณ์ (Branding) บนโลกโซเชียล จะกำหนดว่าลูกค้า “อยากกลับมาซื้อซ้ำ” หรือไม่ – แบรนด์ที่แข็งแรงจะกลายเป็น Top of Mind แม้ต้องแข่งกับงบโฆษณาร้านใหญ่
เล่าเรื่องและเลือก Visual & Tone ให้เหมาะกับแบรนด์และแพลตฟอร์ม
- Facebook: เสียงตรง-จริงใจ-สื่อสารง่าย ตัวอย่าง: ร้านอาหารที่เล่าต้นกำเนิดเมนู วัตถุดิบ หรือเบื้องหลังความตั้งใจเจ้าของร้าน (ต่อให้เป็นร้านเล็ก ก็น่าประทับใจ)
- Instagram: ภาพคุมโทนชัดเจน, ฟอนต์และการคุมสีสื่อเอกลักษณ์ ถ้าชื่อร้านเล็กอ่านง่าย ลูกค้าแคปและแชร์ลงสตอรี่ได้
- YouTube: วิดีโอสัมภาษณ์ รีวิวจริง ไม่ปรุงแต่งมาก – ตัวอย่าง: StoreHub แชร์ประสบการณ์ร้านอาหารลูกค้าที่ใช้ระบบ QR Order & Pay เพิ่มรอบการขายต่อโต๊ะ 30% ภายใน 1 เดือน
- LINE: ขอใช้ภาษาง่าย สั้น-ชัดเจน ให้เป็นกันเอง เหมือนแชทเพื่อน อย่าเน้นทางการเกินไป
ตัวอย่างร้านไทยที่ทำ Branding ได้ดีบนโซเชียล
- ร้านข้าวมันไก่ชื่อดังย่านอนุสาวรีย์ฯ เพิ่มยอดจองผ่าน LINE OA หลังเปลี่ยนให้ลูกค้าแอดไลน์ แล้วแจ้งโปรเฉพาะคนที่สมัครสมาชิก StoreHub Loyalty – ได้ข้อมูลลูกค้าซ้ำกลับมาซื้อเดือนเว้นเดือน
- ร้านคาเฟ่เปิดใหม่ใช้ Instagram ให้ลูกค้าถ่ายรูป แท็ก #ชื่อร้าน รับส่วนลดทันที สร้างฐานลูกค้า Gen Z โตเร็วใน 4 เดือน
- ร้าน pizza เล็กในกรุงเทพฯ สร้าง YouTube สอนทำพิซซ่าและรีวิวเมนูใหม่ ขายดีเพราะผูกลิงก์ไปยังหน้าร้านออนไลน์ StoreHub – ทุกออเดอร์ผ่านโซเชียล sync ข้อมูลแบบ real-time ลด admin error
อย่าลืม – Branding บนโซเชียลไม่ใช่แค่แต่งภาพสวย แต่ต้องสื่อแก่นแท้ ความตั้งใจ หรือประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ใครเห็นแล้วพูดต่อได้
สรุป & Call-to-Action: วางกลยุทธ์โซเชียลให้ถูกจุด – SME ไทยก็ขยายธุรกิจได้แบบมืออาชีพ
Social Media ไม่ใช่แค่โพสต์สนุก – แต่คือขุมทรัพย์ lead รายใหม่ รักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ SME ไทยได้แบบมีแผน ช่วงชิงโอกาสก่อนคู่แข่ง
- เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับลูกค้าของคุณ – เจาะลึกและใช้จุดแข็งแต่ละช่องทาง
- วางกลยุทธ์เนื้อหา เพื่อสร้างการรับรู้และ engagement ไม่ใช่แค่ update ตามกระแส
- ดึงข้อมูลจาก StoreHub’s Reporting & Analytics และ insight จากโซเชียล มาเชื่อมโยงปรับปรุงยอดขาย “เห็นผลชัด”
- เชื่อมต่อ Social Commerce ร้านค้าออนไลน์ คูปอง Loyalty เพื่อปิดการขายและเก็บลูกค้าซ้ำในระบบเดียว
เริ่มวันนี้ – ลองเลือกรูปแบบการเล่าเรื่องและคอนเทนต์ใหม่ ๆ ตามลูกค้ากลุ่มหลักของคุณ วัดผลอย่างจริงจัง และอย่าลืมใช้เครื่องมือที่เชื่อถือได้อย่าง StoreHub เพื่อปลดล็อกการเติบโตอย่างมั่นใจ ไม่ต้องเสียเวลางานเอกสารหรือจมกับยอดออเดอร์ที่ไม่สอดคล้องกันอีกต่อไป
ถ้าต้องการคำแนะนำส่วนตัว หรืออยากเริ่มรับมือกับโซเชียล/ระบบหลังบ้านแบบมืออาชีพ ติดต่อ StoreHub วันนี้ เพื่อวางแผนและตั้งค่าร้านค้าของคุณให้เป็น “ร้านอัจฉริยะ” ที่โตได้จริงในยุคดิจิทัล
พร้อมเปลี่ยนยอด Like เป็นลูกค้าจริงหรือยัง? เริ่มต้นที่นี่กับ StoreHub

FAQ: ข้อควรระวัง การเลือกหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน และวิธีเริ่มต้นที่ SME ไทยทำได้จริง
Q: ควรเลือกทุกแพลตฟอร์มหรือเจาะเฉพาะช่องที่เหมาะกับธุรกิจ
เลือก 1-2 ช่องที่ “ลูกค้าหลักของคุณใช้อยู่จริง” แล้วลงทุนเนื้อหา/โฆษณาให้สุด อย่าเริ่มพร้อมกัน 4-5 ช่องถ้าไม่มีทีม – เพราะทรัพยากรจะถูกแบ่งจนทำได้ไม่ดีสักช่องเดียว เจาะลึกช่องที่เหมาะกับลูกค้าและสินค้าเป็นอันดับแรก
Q: ข้อควรระวังเมื่อเริ่มลงทุนใน Social Media
- อย่าทุ่มงบโฆษณาก้อนโตโดยไม่มี Data – เน้นเทสต์สั้น ๆ วิเคราะห์และเรียนรู้เทรนด์แบบ real-time
- อย่าซื้อยอดไลค์หรือ follower เทียม เน้นสร้าง traffic จริงและ engagement จริงเท่านั้น
- ดูแลข้อมูลลูกค้าให้ปลอดภัยทุกช่องทาง (เช่น StoreHub’s CRM และ Loyalty Program ข้อมูลอยู่กับร้านค้า ไม่รั่วไหลง่าย)
Q: ถ้าเพิ่งเริ่มต้นทำ Social Media Marketing ต้องเริ่มยังไง?
- ชัดเจนว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร – อายุ เพศ พื้นที่ และไลฟ์สไตล์
- เลือก 1-2 แพลตฟอร์มที่กลุ่มนี้ใช้ (เช่น กลุ่ม 18-35 ปี ใช้ IG, กลุ่ม 25-50 ปีใช้ Facebook และ LINE)
- วางปฏิทินคอนเทนต์ 1-2 อาทิตย์ ทดลองเนื้อหาใหม่และเก็บสถิติ
- ใช้เครื่องมือของ StoreHub ในการเก็บ Leads ปิดการขาย ออเดอร์ ซิงก์กับโซเชียล (และปลดล็อกการเติบโตแบบ All-in-one)