
คู่มือเปิดร้านขายของชำ
ฉบับครบจบ (อัพเดต 2025)
อยากเปิดร้านขายของชำในปี 2025 แต่ยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน? บทความนี้คือคู่มือแบบ step-by-step ที่จะพาคุณเข้าใจทุกเรื่องที่ต้องรู้ ตั้งแต่การวางแผนลงทุน การจัดร้านให้ดึงดูด การเลือกสินค้าให้ขายดี ไปจนถึงเทคนิคการตลาดและการใช้เทคโนโลยีมาช่วยบริหารร้านให้มืออาชีพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่ม หรือกำลังวางแผนปรับปรุงร้านเก่าให้อยู่รอดในยุคเศรษฐกิจฝืด บทความนี้จะช่วยให้คุณเปลี่ยนร้านเล็กให้ทำกำไรได้จริง พร้อมแนวคิดที่เจ้าของร้านยุคใหม่ต้องรู้ ถ้าพร้อมแล้ว… มาดูพร้อมกันเลยว่าร้านของชำในปี 2025 ต้อง “คิด” และ “ทำ” อย่างไรถึงจะรอดและรวย!
- ทำไมปี 2025 ถึงเป็นโอกาสทองของร้านขายของชำ
- เตรียมตัวก่อนเปิดร้านขายของชำ
- เอกสาร-ใบอนุญาตที่ต้องมีในปี 2025
- จัดร้านยังไงให้ลูกค้าเดินเพลิน-ซื้อเพิ่ม
- เลือกสินค้าขายดี – ขายเร็ว – กำไรดี
- เครื่องมือยุคใหม่ที่ร้านของชำควรมี
- ทำการตลาดให้ร้านขายของชำ
- ข้อผิดพลาดที่คนเปิดร้านของชำมักพลาด
- สรุป: ร้านขายของชำยุคใหม่ต้อง “คิดแบบคนทำธุรกิจ”
- คำถามที่พบบ่อย
ทำไมปี 2025 ถึงเป็นโอกาสทองของร้านขายของชำ
ร้านขายของชำขนาดเล็กหรือร้านโชห่วยยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทยแทบทุกชุมชน ไม่ว่าจะยุคสมัยใดผู้บริโภคจำนวนมากยังนิยมแวะซื้อของที่ร้านใกล้บ้านเพราะความสะดวกและความคุ้นเคยกับเจ้าของร้าน นอกจากนี้ในปี 2025 พฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปในทางที่เอื้อกับร้านโชห่วยมากขึ้น เช่น ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นจากภาวะค่าครองชีพสูง คนจำนวนไม่น้อยลดการทานข้าวนอกบ้านและลดซื้อของฟุ่มเฟือย แล้วหันมาเน้นซื้อของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมากขึ้น ซึ่งสินค้าจำเป็นเหล่านี้หาได้ง่ายในร้านขายของชำใกล้บ้าน
แม้การแข่งขันจากซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อใหญ่จะมีอยู่ แต่ร้านโชห่วยยังมีจุดแข็งที่โดดเด่น อาทิ ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้าในชุมชน และความยืดหยุ่นในการขาย เช่น ขายสินค้าเป็นชิ้นเล็กหรือให้ซื้อเงินเชื่อได้ ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองคุณสมบัติเหล่านี้กลับยิ่งสำคัญ ข้อมูลจาก สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ระบุว่าในปี 2566-2567 ธุรกิจร้านขายของชำหรือโชห่วยเติบโตถึง 940% กลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งอันดับหนึ่ง เนื่องจากร้านโชห่วยสามารถให้ลูกค้าซื้อสินค้าครั้งละน้อยๆ มีความยืดหยุ่นเรื่องการชำระเงิน และใกล้ชิดกับชุมชน นั่นหมายความว่าในปี 2025 แนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง ร้านขายของชำมีโอกาสทำกำไรได้ดีท่ามกลางสภาวะที่ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัด
อีกปัจจัยที่ทำให้ปี 2025 เป็นช่วงเวลาทองของร้านขายของชำคือความนิยมของการจับจ่ายใกล้บ้านและหน้าร้านจริงยังคงสูงอยู่ แม้ว่าการซื้อของออนไลน์จะเติบโต แต่หลายครั้งผู้บริโภคก็ยัง “อยากไปเดินเลือกดูที่หน้าร้าน” เพื่อเปรียบเทียบสินค้าหลายๆ แบรนด์และหาของใหม่ๆ ด้วยตนเอง ร้านขายของชำจึงตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดี โดยเฉพาะในชุมชนที่ผู้คนอยากสัมผัสประสบการณ์ซื้อของจริงมากกว่าแค่คลิกสั่งออนไลน์ เมื่อรวมทุกปัจจัยทั้งพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปและจุดแข็งเฉพาะตัว จะเห็นว่าปี 2025 เป็นช่วงที่เอื้ออำนวยให้ร้านขายของชำสามารถเติบโตและอยู่รอดได้อย่างแข็งแกร่ง
เตรียมตัวก่อนเปิดร้านขายของชำ
การเตรียมความพร้อมที่ดีคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จของร้านขายของชำ อย่างแรกคือการวิเคราะห์ตลาดและทำเล ให้เข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในย่านที่เราจะเปิดร้าน ควรสำรวจดูว่าลูกค้าแถบนั้นเป็นใคร มีพฤติกรรมการซื้ออย่างไร และต้องการสินค้าแบบไหนเป็นพิเศษ การเลือกสินค้าควรสอดคล้องกับความต้องการของคนในพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น หากเปิดร้านในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ สินค้าที่ขายดีมักจะเป็นของใช้จำเป็นประจำวันมากกว่าสินค้าฟุ่มเฟือย ดังนั้นผู้เปิดร้านควรศึกษาตลาดให้ดี เลือกสต็อกสินค้าที่ตรงใจลูกค้าในย่านนั้นๆ นอกจากนี้ควรสำรวจจำนวนคู่แข่งในบริเวณใกล้เคียงว่าเยอะแค่ไหน และร้านใหญ่ๆ (เช่น ร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมง) อยู่ห่างเพียงใด หากทำเลที่หมายตาอยู่ใกล้คู่แข่งน้อย รายได้ของร้านเราก็มีโอกาสเติบโตได้มากขึ้น
วางแผนงบลงทุนเบื้องต้น อย่างรอบคอบก่อนเปิดร้าน เพื่อให้ธุรกิจเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น งบประมาณในการเปิดร้านขายของชำนั้นจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่และขนาดร้านของคุณ ตัวอย่างเช่น หากต้องเริ่มสร้างร้านใหม่ทั้งหมดอาจต้องใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100,000 บาท แต่ถ้ามีพื้นที่หรืออาคารอยู่แล้ว คุณอาจใช้เงินแค่ประมาณ 50,000-80,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าเข้าร้านและอุปกรณ์จำเป็น เช่น ชั้นวางของหรือตู้แช่เย็น งบประมาณเหล่านี้เป็นเพียงค่าใช้จ่ายตั้งต้น ผู้ประกอบการควรเริ่มลงทุนตามกำลังทรัพย์ที่มี ไม่ควรทุ่มหมดหน้าตักในครั้งเดียว การเริ่มแบบค่อยเป็นค่อยไปและค่อยๆ ขยายเมื่อร้านเริ่มมีกำไรจะลดความเสี่ยงที่จะขาดทุนก้อนใหญ่ และอย่าลืมเตรียม เงินทุนสำรอง เผื่อไว้สำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงแรกๆ ที่เพิ่งเปิดร้านและยังหาลูกค้าไม่ทัน ร้านค้าใหม่ควรมีเงินสำรองอย่างน้อยสำหรับค่าใช้จ่าย 3 เดือนแรก เพื่อใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ หรือเติมของเข้าร้านในช่วงที่รายได้ยังไม่สม่ำเสมอ
อีกเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องวางแผนคือ จุดคุ้มทุนและระยะเวลาคืนทุน ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดจึงจะคืนทุนที่ลงทุนไป การคำนวณคร่าวๆ สามารถทำได้โดยใช้สูตร: ระยะเวลาคืนทุน = เงินลงทุน ÷ กำไรสุทธิ (ต่อเดือนหรือต่อปี) เช่น ถ้าลงทุนเปิดร้านไป 100,000 บาท และร้านมีกำไรสุทธิเดือนละ 10,000 บาท จะใช้เวลาประมาณ 10 เดือนก็คืนทุน (100,000 ÷ 10,000 = 10) อย่างไรก็ตาม ในโลกความเป็นจริงอาจคืนทุนช้ากว่านั้นเพราะช่วงแรกกำไรยังน้อย ผู้ประกอบการจึงควรตั้งเป้าระยะเวลาคืนทุนที่เป็นไปได้และเตรียมความพร้อมด้านการเงินเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้เสมอ บางร้านตั้งเป้าไว้ที่ 1-2 ปีคืนทุนซึ่งถือว่าเหมาะสมสำหรับธุรกิจค้าปลีกเล็กๆ แต่หากคำนวณออกมาแล้วพบว่าจะใช้เวลานานหลายปี ควรพิจารณาลดต้นทุนการลงทุนตั้งแต่แรกเพื่อให้คืนทุนได้ไวขึ้นตามที่ต้องการ การวางแผนด้านการเงินอย่างรอบคอบเช่นนี้จะช่วยให้คุณเปิดร้านได้อย่างมั่นใจและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น
เอกสาร-ใบอนุญาตที่ต้องมีในปี 2025
เมื่อเตรียมแผนธุรกิจพร้อมแล้ว อย่าลืมดำเนินการด้านเอกสารและใบอนุญาตต่างๆ ให้ครบถ้วน อย่างแรกคือการจดทะเบียนพาณิชย์ (ทะเบียนการค้า) ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการธุรกิจต้องจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มเปิดกิจการ การจดทะเบียนพาณิชย์สำหรับร้านค้ารายย่อยสามารถทำได้ที่สำนักงานเขตหรือเทศบาลในพื้นที่ และมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อยเพียง 50 บาท สำหรับการจดทะเบียนใหม่หนึ่งครั้งเท่านั้น (หากในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงชื่อหรือยกเลิกกิจการก็มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมเล็กน้อย) เมื่อจดทะเบียนแล้ว เจ้าของร้านจะได้รับใบทะเบียนพาณิชย์มาแสดงไว้ที่หน้าร้าน การมีทะเบียนพาณิชย์จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้ร้าน และยังเป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากกำไรของกิจการด้วย
เรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ก็เป็นอีกประเด็นที่ผู้เปิดร้านต้องทราบล่วงหน้า โดยทั่วไปแล้วร้านขายของชำขนาดเล็กมักยังไม่ต้องจดทะเบียน VAT หากรายได้ทั้งปีไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แต่หากกิจการของคุณไปได้ดี มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ประมาณเฉลี่ยเดือนละ 150,000 บาทขึ้นไป) ก็จะเข้าข่ายที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ยอดขายเกินเกณฑ์นั้น เมื่อจด VAT แล้ว คุณต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีขาย (แบบ ภ.พ.30) ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (ยื่นออนไลน์ได้ถึงวันที่ 23) เพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดขายของร้าน หากร้านยังมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาท เจ้าของร้านก็ยังคงเสียเฉพาะภาษีเงินได้ตามปกติของกิจการรายย่อย ซึ่งคิดจากกำไรสุทธิต่อปี และสามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยตามที่กฎหมายกำหนดได้
นอกจากทะเบียนพาณิชย์และภาษีพื้นฐานแล้ว หากร้านขายของชำของคุณจะจำหน่ายสินค้าควบคุมบางประเภท เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์) หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบ (บุหรี่) จะต้องขอใบอนุญาตเฉพาะด้วย ใบอนุญาตขายสุราและใบอนุญาตขายบุหรี่สามารถยื่นขอได้ที่สำนักงานสรรพสามิตในพื้นที่ โดยทั่วไปใบอนุญาตเหล่านี้จะมีอายุถึงสิ้นปีปฏิทิน (31 ธันวาคมของทุกปี) และผู้ประกอบการต้องยื่นต่ออายุใบอนุญาตทุกปีตามกำหนดเวลาที่สรรพสามิตเปิดให้ต่ออายุ (มักเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมของทุกปี) ดังนั้นหากตั้งใจจะขายเครื่องดื่มมึนเมาหรือบุหรี่ในร้าน ต้องวางแผนขออนุญาตให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน นอกจากนี้ควรปฏิบัติตามเงื่อนไขการขายอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่ขายให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นต้น เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
จัดร้านยังไงให้ลูกค้าเดินเพลิน-ซื้อเพิ่ม
การจัดร้านที่ดีส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ร้านที่ตกแต่งสวยงามเป็นระเบียบและน่าเดิน จะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาเลือกซื้อสินค้าได้นานขึ้น และสร้างโอกาสซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นตรงกันข้ามกับร้านที่ดูมืดทึบหรือรกรุงรัง ที่ลูกค้าอาจไม่อยากเข้า ดังนั้นควรใส่ใจทั้งผังร้าน บรรยากาศ และรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น แสงไฟและป้ายประกาศโปรโมชั่น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า “เดินเพลิน” ในร้านเรา กรณีร้านโชห่วยแบบดั้งเดิมที่อาจมีพื้นที่จำกัด การปรับร้านให้โปร่งขึ้นและมีแสงสว่างเพียงพอเป็นจุดเริ่มต้นง่าย ๆ ที่ช่วยได้มาก จัดร้านให้สว่างและสดใส ไม่ให้มุมอับทึบ จะทำให้สินค้าดูน่าซื้อกว่าเดิมและลูกค้ารู้สึกบรรยากาศดีน่าจับจ่ายยิ่งขึ้น ถ้าผนังสีเก่าโทรมควรทาสีใหม่ในโทนสว่างหรือสีประจำร้านเพื่อเพิ่มความโดดเด่น สร้างเอกลักษณ์ และทำให้ร้านดูสะอาดตา น่าเข้ามากขึ้น
เทคนิคการจัด Layout สินค้า ก็มีส่วนกระตุ้นการซื้ออย่างแยบยล เจ้าของร้านควรจัดเรียงสินค้าเป็นหมวดหมู่ เช่น แยกชั้นวางของใช้ในบ้าน ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่ม ออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าเดินหาได้ง่าย ไม่สับสน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสปิดการขายได้เร็วขึ้น อีกเทคนิคคือการจัดสินค้าที่ขายดีหรือสินค้าใหม่ให้อยู่ในระดับสายตาของลูกค้า โดยเฉพาะชั้นวางตรงกลางร้านหรือใกล้ทางเดินหลัก เพราะลูกค้าจะมองเห็นและหยิบง่าย ส่งผลให้สินค้านั้นขายได้เร็วขึ้นกว่าวางในตำแหน่งลับตา ตรงกันข้ามกับสินค้าที่ขายได้น้อยหรือมีกำไรต่ำ อาจวางไว้ชั้นบนหรือล่างแทน นอกจากนี้ การวางสินค้าแบบ “ตุนแน่น” เป็นกองรวมกัน ก็นับเป็นเคล็ดลับจิตวิทยาการขาย เช่น วางกระป๋องเครื่องดื่มชนิดเดียวกันจำนวนมากเรียงติดกัน จะสร้างภาพว่าสินค้านั้นขายดีและเหลือน้อย กระตุ้นให้ลูกค้ารีบหยิบซื้อก่อนของหมด แม้ปกติอาจไม่ได้ตั้งใจจะซื้อสินค้านั้นก็ตาม วิธีนี้ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าใหม่หรือสินค้าที่อยากโปรโมตได้เป็นอย่างดี
สำหรับ “จุดขายเด็ด” ภายในร้านของชำ เจ้าของร้านสามารถเพิ่มมุมที่ทำให้ลูกค้าแวะชมและซื้อสินค้าเพิ่ม เช่น มุมสินค้าโปรโมชั่นราคาพิเศษทุกอย่าง 20 บาท ซึ่งของใช้ราคาย่อมเยานี้มักดึงดูดความสนใจและเพิ่มยอดขายแบบไม่รู้ตัว หรือจัดชั้นเล็ก ๆ ใกล้เคาน์เตอร์เก็บเงินสำหรับวางของจิปาถะชิ้นเล็ก ๆ ราคาถูก (เช่น ลูกอม หมากฝรั่ง ถ่านไฟฉาย) ที่ลูกค้าอาจหยิบเพิ่มตอนรอคิดเงิน การมีสินค้าราคาเบา ๆ ให้เลือกหยิบง่ายจะทำให้ลูกค้าซื้อของเพลินขึ้นโดยไม่รู้สึกเสียดายเงินมาก นอกจากนี้ สินค้าสิ้นเปลืองที่ต้องซื้อซ้ำบ่อย ๆ เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด, ข้าวสาร, ไข่ไก่, ผงซักฟอก หรือของใช้ประจำวันต่าง ๆ ก็ควรวางไว้ในจุดที่มองเห็นง่าย หยิบสะดวก และมีป้ายราคาชัดเจน สินค้าเหล่านี้เป็นของที่ทุกครัวเรือนต้องใช้เป็นประจำ หากร้านเราสต็อกไว้ครบครันและหยิบซื้อสะดวก ลูกค้าจะรู้สึกว่ามาที่ร้านแล้วได้ของครบตามต้องการ เกิดความประทับใจและกลายเป็นลูกค้าขาประจำได้ง่าย นอกจากนั้น ป้ายโปรโมชั่นและป้ายลดราคา ก็ควรจัดทำและติดไว้ในตำแหน่งที่โดดเด่นภายในร้าน เช่น ป้าย “ซื้อ 2 แถม 1” หรือป้ายลดล้างสต๊อกสีแดงสดติดบนชั้นวาง วิธีนี้ช่วยดึงดูดสายตาลูกค้าให้สนใจสินค้าที่เราต้องการเร่งขายเป็นพิเศษ และกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อเพิ่มขึ้นจากรายการที่ตั้งใจมาซื้อเดิม ถือเป็นการเพิ่มยอดขายต่อบิลที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง
เลือกสินค้าขายดี – ขายเร็ว – กำไรดี
การเลือกสินค้าสำหรับร้านของชำในยุคนี้ต้องเน้นของที่ “ขายง่าย” และหมุนไว เพื่อให้เงินทุนไม่จมอยู่กับของที่ขายไม่ออกนาน ๆ สินค้าหมุนไวคือสินค้าที่มีความต้องการสูงในชีวิตประจำวันหรือขายดีเป็นพิเศษในชุมชน ยกตัวอย่างเช่น น้ำดื่ม ที่แทบทุกบ้านต้องซื้อตลอด, ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มเย็น ๆ ที่เด็ก ๆ และคนทำงานนิยมแวะมาซื้อกินเล่น หรือ ของใช้ประจำวันที่จำเป็น อย่างยาสีฟัน สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ที่หมดแล้วต้องซื้อซ้ำ สินค้าเหล่านี้นอกจากจะขายตัวเองได้อยู่แล้วเพราะเป็นของจำเป็น ยังช่วยดึงคนเข้าร้านให้มาอุดหนุนสม่ำเสมอ ในภาวะเศรษฐกิจปี 2025 ที่ค่าครองชีพสูง ผู้บริโภคมักจำกัดการใช้จ่ายกับของฟุ่มเฟือย แต่ของใช้จำเป็นยังไงก็ต้องซื้อ ตราบใดที่ร้านเรามีของเหล่านี้พร้อมขาย ลูกค้าก็มีเหตุผลให้แวะเวียนมาร้านเรื่อย ๆ และอาจซื้อสินค้าอื่นติดมือเพิ่มไปด้วย
เทคนิคในการคัดเลือกสินค้าขายดี อย่างแรกคือต้องรู้จักลูกค้าของเราและความต้องการในพื้นที่ เช่น หากร้านตั้งอยู่ใกล้โรงเรียน สินค้าขายดีอาจเป็นขนมเด็ก ขนมกรุบกรอบน้ำอัดลมขวดเล็ก หรือถ้าอยู่ในเขตชุมชนคนทำงาน อาจเน้นเป็นกาแฟกระป๋อง เครื่องดื่มชูกำลัง และอาหารพร้อมทานง่าย ๆ เจ้าของร้านควรหมั่นสังเกตว่าสินค้าใดขายหมดเร็ว และสินค้าใดยังค้างอยู่บนชั้นนานหลายสัปดาห์ จากนั้นนำ ข้อมูลยอดขายจริงมาวิเคราะห์ ช่วยตัดสินใจว่าจะเพิ่มหรือลดสต๊อกสินค้าใด ระบบขายหน้าร้านยุคใหม่ (POS) สามารถออก รายงานสถิติการขาย รายวัน/รายเดือนที่แสดงรายการสินค้าขายดีอันดับต้น ๆ และสินค้าที่ขายได้น้อย ทำให้เรารู้ภาพรวมทันทีโดยไม่ต้องเดา เมื่อรู้แล้วก็ควรปรับกลยุทธ์สินค้าในร้านให้เหมาะสม เช่น จัดสต๊อกสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการ โดยเฉพาะสินค้าขายดีต้องมีพร้อมขายตลอด อย่าให้ของขาดชั้น เพราะลูกค้าอาจไปร้านอื่นแทน ขณะเดียวกันหากพบว่าสินค้าตัวไหนขายไม่ค่อยดี ควรพิจารณาจัด โปรโมชั่นกระตุ้นยอด เช่น ลดราคาแบบซื้อคู่ถูกลง หรือแถมของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยระบายสต๊อก และหากลองโปรโมตแล้วยังขายไม่ออกจริง ๆ ในที่สุดอาจต้องตัดออกจากรายการสินค้าที่สั่งมาขาย เพื่อไม่ให้เงินทุนจมไปกับสินค้าที่ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย
การบริหารสต๊อกอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้มี “ของค้างชั้น” จนหมดอายุหรือเสื่อมคุณภาพคาร้าน เจ้าของร้านควรจัดระบบ หมุนเวียนสินค้า (Stock Rotation) ที่ดี เช่น สินค้าใหม่ที่รับมาล่าสุดให้วางไว้ด้านหลังหรือด้านล่างของสินค้าล็อตเก่าบนชั้น เพื่อให้สินค้าที่มาก่อนถูกหยิบขายออกไปก่อน (หลักการ First-In First-Out) ป้องกันไม่ให้ของล็อตเก่าค้างอยู่จนหมดอายุ นอกจากนี้ควรหมั่น ตรวจสอบวันหมดอายุ บนสินค้าบริโภคอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยเฉพาะสินค้าที่ขายออกช้า หากเจอว่าสินค้าใกล้หมดอายุภายใน 1-2 เดือน ควรวางแผนจัดโปรโมชันลดราคาเพื่อกระตุ้นให้ขายออกเร็วขึ้นก่อนจะขายไม่ได้เลย วิธีนี้จะช่วยลดการสูญเสียต้นทุนจากสินค้าหมดอายุทิ้งเปล่า และทำให้พื้นที่ชั้นวางถูกใช้ไปกับสินค้าที่ขายได้จริง ปัจจุบันมี ระบบจัดการสต๊อกในโปรแกรม POS ที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อสินค้าชนิดใดใกล้จะหมดสต๊อกหรือค้างสต๊อกนานผิดปกติ เจ้าของร้านสามารถใช้ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยบริหารสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ลดโอกาสของขาดและลดปัญหาของเหลือทิ้งไปพร้อม ๆ กันได้อีกทางหนึ่ง
เครื่องมือยุคใหม่ที่ร้านของชำควรมี
ในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีสำหรับร้านค้าปลีกขนาดเล็กมีราคาจับต้องได้ และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านของชำแข่งขันได้สูสีกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ การลงทุนใน เครื่องมือยุคใหม่ ไม่ได้เกินกำลังของร้านเล็กอีกต่อไปและยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาด และตอบสนองพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่ที่ชื่นชอบความสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี เครื่องมือสามอย่างที่ “ร้านของชำ 2025” ควรมี ได้แก่ ระบบ POS แบบ Cloud, ช่องทางรับจ่ายเงินด้วย QR code (พร้อมเพย์) และ แอปพลิเคชันหรือระบบออนไลน์ในการเช็กสต๊อก/ยอดขาย ซึ่งเราจะอธิบายประโยชน์ของแต่ละส่วนดังต่อไปนี้
ระบบ POS แบบ Cloud (Point of Sale) คือระบบขายหน้าร้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต คล้ายเครื่องคิดเงินของซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่แต่ย่อส่วนมาอยู่ในรูปแท็บเล็ตหรือมือถือของเรา ข้อดีคือ ใช้งานง่ายและเชื่อมต่อข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทุกการขายจะถูกบันทึกลงฐานข้อมูลกลาง ทำให้เจ้าของร้านสามารถดูรายงานยอดขายได้จากทุกที่ทุกเวลา แม้ไม่อยู่ที่ร้านก็ตรวจสอบยอดขายได้ ทันทีผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ตัวระบบยังช่วยตัดสต๊อกสินค้าให้อัตโนมัติเมื่อขายสินค้าแต่ละชิ้น ลดโอกาสสต๊อกเหลื่อมผิดพลาด และแจ้งเตือนทันทีเมื่อสินค้าชนิดใดใกล้หมด ทำให้เราสั่งของมาสต๊อกเพิ่มได้ทันท่วงที นอกจากนี้ระบบ POS สมัยใหม่ยังรองรับการทำงานหลายอย่างในตัว เช่น ออกรายงานวิเคราะห์สินค้าขายดี-ขายช้า (อย่างที่กล่าวในหัวข้อก่อน) จัดการระบบสมาชิกหรือสะสมแต้มลูกค้า รวมถึงเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมอย่างเครื่องพิมพ์ใบเสร็จและลิ้นชักเก็บเงินได้ครบครัน การมี POS แบบ Cloud ช่วยให้ร้านของชำเล็ก ๆ ทำงานได้ “มืออาชีพ” ขึ้น ไม่ต่างจากมินิมาร์ทเครือใหญ่ แถมประหยัดเวลาบริหารหลังบ้าน ทำให้มีเวลาบริการหน้าร้านหรือคิดแผนเพิ่มยอดขายอื่น ๆ ได้มากขึ้น
ช่องทางรับชำระเงินด้วยการสแกน QR Code / พร้อมเพย์ ถือเป็นอีกเครื่องมือที่ “ต้องมี” ตามพฤติกรรมการจ่ายเงินของคนไทยในปัจจุบัน ทุกวันนี้ลูกค้าหลายคนเริ่มพกเงินสดน้อยลง และคุ้นเคยกับการใช้แอปธนาคารสแกนจ่ายตามร้านค้าต่าง ๆ จากข้อมูลปี 2023 ประเทศไทยถือเป็นผู้นำด้านการใช้ QR Payment ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีผู้ลงทะเบียนใช้งานพร้อมเพย์ถึง 77.2 ล้านบัญชี และมีมูลค่าธุรกรรมผ่านพร้อมเพย์เฉลี่ย 129,000 ล้านบาทต่อวัน (ประมาณ 5.7 พันล้านรายการต่อปี เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี 2022) นอกจากนี้คนไทยยังติดอันดับ 5 ของโลกในด้านการใช้ QR Code ในชีวิตประจำวัน โดยกว่า 54.1% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในไทยเคยใช้ QR Code ไม่ว่าจะสแกนจ่ายเงิน รับข้อมูล หรือยืนยันตัวตน กล่าวได้ว่า “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) กลายเป็นความเคยชินใหม่ของคนไทยไปแล้ว ร้านของชำยุคใหม่จึงควรมีป้าย QR พร้อมเพย์ของตนเองให้ลูกค้าสแกนชำระเงินได้สะดวก การรับจ่ายผ่าน พร้อมเพย์ ไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับยอดขายปลีกทั่วไปและเงินจะเข้าบัญชีทันที ลดความเสี่ยงเรื่องเงินสดหายหรือทอนเงินผิด ลูกค้าเองก็พึงพอใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องพกเงินสดไม่พอ ที่สำคัญคือร้านเล็ก ๆ จะสามารถรองรับลูกค้าที่ไม่พกเงินสดติดตัวเลยได้ ทำให้ไม่เสียโอกาสการขาย ปัจจุบันภาครัฐและธนาคารยังสนับสนุนการใช้ e-Payment ในร้านค้ารายย่อยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการแจกสิทธิ์คนละครึ่ง การชำระเงินผ่านแอปเป๋าตัง ฯลฯ เจ้าของร้านควรติดตามข่าวสารและพร้อมปรับตัวใช้ช่องทางเหล่านี้เสมอ เพื่อเพิ่มยอดขายและความสะดวกให้ลูกค้าอย่างเต็มที่
สุดท้าย เครื่องมือช่วยบริหารร้านผ่านมือถือ เช่น แอปพลิเคชันเช็กสต๊อกและดูยอดขาย ก็เป็นตัวช่วยที่น่าสนใจสำหรับเจ้าของร้านของชำยุคใหม่ ระบบ POS แบบคลาวด์ที่กล่าวไป มักจะมาพร้อมเว็บแอปหรือโมบายแอปให้เจ้าของร้านเข้าไปตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้จากที่บ้านหรือระหว่างเดินทาง ยกตัวอย่าง เจ้าของร้านสามารถเปิดแอปบนมือถือเพื่อตรวจดูยอดขายรายวัน ได้ทุกช่วงเวลา หรือดูรายงานว่าเหลือสต๊อกสินค้าสำคัญกี่ชิ้น โดยไม่ต้องมาจดมือหรือเดินเช็กของเองทั้งร้านเหมือนสมัยก่อน ฟังก์ชันนี้มีประโยชน์มากสำหรับร้านที่มีพนักงานเฝ้าร้านแทนเจ้าของ หรือร้านที่เจ้าของต้องออกไปซื้อของนอกสถานที่บ่อย ๆ เพราะช่วยให้ติดตามสถานการณ์หน้าร้านได้ใกล้ชิดเสมอ นอกจากนี้ยังมี แอปเฉพาะทางสำหรับจัดการสต๊อก ที่ช่วยนับจำนวนสินค้า รับเข้า-เบิกออก และแจ้งเตือนของขาด หากร้านของคุณยังไม่พร้อมลงทุน POS เต็มรูปแบบ ก็อาจเริ่มจากใช้แอปหรือแม้แต่ตารางคำนวณ (Excel/Google ชีต) ในการบันทึกยอดขายและสต๊อกสินค้าเป็นประจำ เมื่อเก็บข้อมูลดิบได้ระยะหนึ่งแล้วจึงค่อย ๆ ศึกษาแนวโน้มว่าควรเพิ่มลดสินค้าไหน ซึ่งหลักการก็คล้ายกับที่ระบบ POS ทำรายงานให้อัตโนมัติ การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้การตัดสินใจต่าง ๆ มีข้อมูลสนับสนุน (Data-Driven) มากขึ้น แทนการคาดเดาจากความรู้สึกล้วน ๆ ช่วยลดความผิดพลาดในการบริหารและเพิ่มกำไรให้ร้านของชำยุคใหม่ได้อย่างยั่งยืน
ทำการตลาดให้ร้านขายของชำ
การเปิดร้านขายของชำในยุคนี้จำเป็นต้องวางแผนการตลาดอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่เปิดร้านรอลูกค้าเดินเข้ามาเอง เจ้าของร้านควรใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเก่าให้อยู่กับเราอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของ โปรโมชัน เช่น คูปองส่วนลดหรือบัตรสะสมแต้ม ถือเป็นเครื่องมือที่ร้านเล็ก ๆ ก็ใช้ได้ การมอบคูปองส่วนลดให้ลูกค้าไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความภักดี (Loyalty) ให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับร้านมากขึ้น งานวิจัยพบว่า 68% ของผู้บริโภครู้สึกว่าการได้รับคูปองทำให้จดจำแบรนด์และเกิดความภักดีต่อร้าน และ 54% บอกว่าข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ จากร้านทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับรางวัล สิ่งนี้แปลว่าหากร้านของชำมีการแจกคูปองส่วนลดหรือสิทธิพิเศษเป็นครั้งคราว ย่อมทำให้ลูกค้ารู้สึกดีกับร้านและอยากกลับมาอุดหนุนซ้ำอีก นอกจากนี้ การทำบัตรสมาชิกสะสมแต้มง่าย ๆ สำหรับลูกค้าประจำ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าแวะเวียนมาซื้อสินค้าบ่อยขึ้น เพราะลูกค้าจะรู้สึกถึงคุณค่าที่ได้รับสะสมไว้เพื่อแลกส่วนลดหรือของรางวัลในอนาคต
อีกกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้ามคือการสร้าง ตัวตนบนโลกออนไลน์ เช่น การเปิดเพจ Facebook ของร้านเพื่อสื่อสารกับชุมชนในพื้นที่ ทุกวันนี้คนไทยใช้งาน Facebook เป็นจำนวนมาก (มีผู้ใช้กว่า 51 ล้านคนในประเทศไทยช่วงต้นปี 2025) ทำให้เพจร้านของชำสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในละแวกใกล้เคียงได้ง่ายและรวดเร็ว เจ้าของร้านสามารถโพสต์แจ้งโปรโมชั่น สินค้าใหม่ หรือปรับเวลาทำการบนเพจเพื่อให้ลูกค้าทราบข่าวสารทันใจ นอกจากนี้ การตอบแชทสอบถามสินค้าผ่านเพจ Facebook หรือทาง Line Official Account ของร้าน ก็ช่วยสร้างความประทับใจด้านบริการได้ดี การผสานช่องทางออฟไลน์หน้าร้านกับช่องทางออนไลน์แบบ Omni-Channel จะเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าและขยายการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น อีกทั้งยังมอบประสบการณ์ที่ดี ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำแน่นอน ยกตัวอย่าง ร้านของชำอาจเข้าร่วมกลุ่มชุมชนใน Facebook เพื่อโปรโมทร้าน หรือโพสต์กิจกรรมเล็ก ๆ ให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสร้างการรับรู้และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว
นอกเหนือจากช่องทางโซเชียลมีเดีย เจ้าของร้านควรพิจารณาขยายช่องทางขายสู่แพลตฟอร์ม ออนไลน์ออนดีมานด์ อย่าง GrabMart, LINE MAN ฯลฯ ปัจจุบันผู้บริโภคจำนวนมากนิยมสั่งซื้อของใช้และของสดผ่านแอปพลิเคชันเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว การนำสินค้าร้านชำขึ้นขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่ไม่สามารถแวะมาที่ร้านได้บ่อย ๆ โดยในปี 2025 มีร้านค้ากว่า 15,000 ร้านทั่วประเทศเข้าร่วมบน GrabMart แล้ว ตั้งแต่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่จนถึงร้านโชห่วยเล็ก ๆ ของอากงอาม่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจรายย่อยเองก็กำลังปรับตัวเข้าสู่ช่องทางออนไลน์มากขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มเดลิเวอรียังเป็นโอกาสให้ร้านชำในชุมชนท้องถิ่นเข้าถึงฐานลูกค้าวงกว้างที่อยู่นอกเหนือพื้นที่ชุมชนได้ง่ายขึ้นด้วย เช่น คนที่อยู่คนละเขตหรือไม่มีรถก็สามารถสั่งสินค้าจากร้านของชำคุณผ่านแอปได้ทันที การลงทะเบียนเป็นร้านค้าบน GrabMart หรือ LINE MAN จึงเป็นการทำการตลาดเชิงรุกที่คุ้มค่า เพราะช่วยเพิ่มทั้งยอดขายและการรู้จักในแบรนด์ร้านของเราโดยแทบไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากนัก
ข้อผิดพลาดที่คนเปิดร้านของชำมักพลาด
แม้การเริ่มต้นร้านขายของชำจะไม่ซับซ้อนเท่าธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ก็มีข้อผิดพลาดพื้นฐานหลายอย่างที่ผู้ประกอบการรายใหม่มักมองข้าม และสิ่งเหล่านี้อาจบั่นทอนความสำเร็จของร้านได้โดยไม่รู้ตัว การเข้าใจและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่มีระบบบัญชี – หนึ่งในความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดคือการไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของร้านอย่างเป็นระบบ เจ้าของร้านโชห่วยหลายรายขายของได้ทุกวันแต่กลับไม่รู้กำไรที่แท้จริงของตัวเอง เพราะไม่เคยจดบันทึกรายการค่าใช้จ่ายและยอดขายอย่างละเอียด การไม่ทำบัญชีทำให้ไม่รู้ว่าธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไร และไม่ทราบว่าควรปรับปรุงส่วนไหนของร้านบ้าง การจัดทำบัญชีพื้นฐานจะช่วยให้เรา “มองเห็นภาพรวมของธุรกิจ” ชัดเจนขึ้นว่าเดือนนี้ได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร สัดส่วนค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญระดับหัวใจของทุกกิจการ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพราะบัญชีช่วยคำนวณผลประกอบการและชี้ทิศทางว่าธุรกิจกำลังไปในทางไหน ยิ่งไปกว่านั้น การทำบัญชีอย่างเป็นระบบยังช่วยให้เจ้าของร้านสามารถแยกแยะเงินทุนของกิจการออกจากเงินส่วนตัวได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายย่อยหลายคนมองข้าม เช่น บางร้านขายดีแต่สุดท้าย “เงินหาย” เพราะเผลอเอาเงินรายได้ไปใช้จ่ายส่วนตัวโดยไม่บันทึกไว้ สุดท้ายกลายเป็นใช้เงินทุนของกิจการไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรมีวินัยในการทำบัญชีและแยกกระเป๋าเงินของร้านออกจากกระเป๋าเงินใช้ส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อที่เราจะได้ทราบต้นทุน-กำไรที่แท้จริงและไม่ทำให้ธุรกิจสะดุดจากการบริหารเงินที่ผิดพลาด
ขายตามใจ ไม่ดูยอดขายจริง – ข้อผิดพลาดนี้พบได้บ่อยในร้านโชห่วยแบบดั้งเดิมที่เจ้าของร้านอาจยังบริหารแบบเดาใจตัวเองเป็นหลัก คือ สั่งสินค้าและตั้งราคาตามความรู้สึกหรือประสบการณ์ส่วนตัว โดยไม่ได้อ้างอิงข้อมูลยอดขายจริง ๆ ว่าสินค้าใดขายดีหรือขายไม่ออก การขาดการวิเคราะห์ยอดขายเชิงข้อมูลทำให้บางร้านสต็อกของที่ไม่เหมาะกับความต้องการลูกค้า หรือมีสินค้าค้างสต็อกจำนวนมากจนเงินทุนจมไปกับของที่หมุนไม่ทัน เจ้าของร้านควรหลีกเลี่ยงการบริหารแบบตามใจตนเองและหันมาใช้ข้อมูลการขายช่วยตัดสินใจ เช่น ตรวจสอบรายงานยอดขายรายวัน/รายเดือนดูว่าสินค้าตัวไหนขายได้เร็ว สินค้าตัวไหนขายช้า จากนั้นปรับการสั่งสินค้าให้เหมาะสมกับความต้องการจริงของลูกค้าอยู่เสมอ แนวทางนี้จะช่วยลดปัญหาของล้นสต็อกที่ขายไม่ออก ซึ่งทำให้เกิดต้นทุนจมและความเสี่ยงสินค้าหมดอายุโดยเปล่าประโยชน์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เจ้าของร้านตรวจสอบสินค้าในร้านเป็นระยะ ๆ และตัดสินใจเอาสินค้าที่ไม่จำเป็นหรือขายแทบไม่ได้ออกจากชั้นวางไปบ้าง รวมถึงควบคุมปริมาณการสั่งของแต่ละครั้งให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่สั่งมากเกินไปจนของบางส่วนเสื่อมสภาพหรือหมดอายุก่อนจะขายได้หมด การบริหารสต็อกอย่างมีระบบและการดูรายงานยอดขายจริงจะช่วยให้ร้านของชำรักษาสินค้าที่ลูกค้าต้องการไว้เสมอ ขณะเดียวกันก็ลดการลงทุนในสินค้าที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้นและหมุนเงินสดได้คล่องตัว
ไม่ทำโปรโมชันเลย – อีกหนึ่งความผิดพลาดคือการไม่จัดทำโปรโมชั่นใด ๆ ให้กับร้านเลย เพราะคิดว่าร้านของชำเล็ก ๆ คงไม่จำเป็นต้องมีโปรโมชั่นเหมือนร้านใหญ่หรือห้างสรรพสินค้า ความคิดนี้อาจทำให้ร้านเราสูญเสียโอกาสในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ และกระตุ้นยอดขายโดยไม่รู้ตัว จากข้อมูลพบว่าร้านของชำแบบดั้งเดิมส่วนมากมักไม่มีการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายใด ๆ ทำให้ดึงดูดลูกค้าได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ตรงกันข้าม หากร้านของชำรายใดรู้จักนำกลยุทธ์โปรโมชั่นมาใช้ ก็จะสามารถจูงใจให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการลดราคาเป็นครั้งคราว จัดโปรซื้อ 1 แถม 1 ในสินค้าที่กำหนด หรือแจกของแถมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกค้าเมื่อซื้อถึงยอดที่ตั้งไว้ เช่น แจกไข่ไก่ 1 แผงฟรีเมื่อซื้อครบ 500 บาท เป็นต้น วิธีเหล่านี้ล้วนช่วยกระตุ้นความสนใจของลูกค้าได้ดีเหมือนที่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ทำ เพราะลูกค้าจะรู้สึกว่าซื้อสินค้ากับร้านเราแล้วได้ความคุ้มค่ามากกว่า ร้านโชห่วยยุคใหม่หลายแห่งจึงเริ่มนำระบบบัตรสะสมแต้มมาใช้ หรือเข้าร่วมโครงการกับบริษัทใหญ่เพื่อจัดโปรโมชั่นร่วมกัน เช่น ช่วงเทศกาลต่าง ๆ ก็อาจร่วมกับบริษัทเครื่องดื่มจัดรายการลดราคาพิเศษ เป็นต้น สรุปคือ “ไม่ทำโปรโมชัน” กลับน่ากลัวกว่าการทำ เพราะในตลาดที่มีการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบัน ร้านค้าเล็ก ๆ ก็จำเป็นต้องสร้างจุดเด่นและแรงจูงใจให้ลูกค้าเลือกซื้อที่ร้านเราอยู่เสมอ และการทำโปรโมชั่นคือหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพและลงทุนไม่สูงเกินไปสำหรับร้านของชำทั่วไป
สรุป: ร้านขายของชำยุคใหม่ต้อง “คิดแบบคนทำธุรกิจ”
ท้ายที่สุดแล้ว การจะทำให้ร้านขายของชำเล็ก ๆ ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน เจ้าของร้านจำเป็นต้องปรับมุมมองและแนวคิดให้เป็นแบบ “นักธุรกิจ” มากขึ้น ไม่ใช่แค่ขายของแบบวันต่อวันไปเรื่อย ๆ เท่านั้น สิ่งแรกที่ต้องคิดเสมอคือเรื่อง ต้นทุนและกำไร ทุกการตัดสินใจในร้านควรพิจารณาผลกระทบต่อทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายอยู่ตลอดเวลา เจ้าของร้านควรรู้ต้นทุนของสินค้าทุกชิ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายแฝงต่าง ๆ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันรถไปซื้อของ เพื่อคำนวณราคาและกำไรต่อรายการได้อย่างถูกต้อง หลายธุรกิจล้มเหลวเพราะเจ้าของไม่ทราบตัวเลขที่แท้จริงของกิจการตัวเอง บางคนขายดีมากแต่สุดท้ายขาดทุนสะสมเพราะไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงหรือใช้เงินจากกิจการไปกับค่าใช้จ่ายส่วนตัวมากเกินไป การคิดแบบนักธุรกิจหมายถึงเราต้องมีวินัยทางการเงิน รู้เสมอว่าเดือนนี้ร้านมีรายได้เท่าไร กำไรสุทธิเท่าไร และกำไรนั้นเพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัวหรือขยายกิจการหรือไม่ หากเราตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องการกำไรเดือนละเท่าไร ก็จะวางแผนการขายและควบคุมต้นทุนได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งแนวคิดนี้จะผลักดันให้ร้านของชำเล็ก ๆ สามารถอยู่รอดและเติบโตได้แม้ต้องแข่งกับร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ก็ตาม
อย่ากลัวเทคโนโลยี – ผู้ประกอบการร้านโชห่วยรุ่นเก่าหลายคนอาจรู้สึกไม่ถนัดกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เครื่องคิดเงินระบบคอมพิวเตอร์ แอปพลิเคชันสั่งของออนไลน์ หรือการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ในโลกยุคดิจิทัล การไม่เปิดรับเทคโนโลยีก็เหมือนปิดโอกาสการเติบโตของธุรกิจไปด้วย งานศึกษาหลายชิ้นระบุว่าผู้ประกอบการ SME ที่ยอมปรับตัวนำเครื่องมือดิจิทัลมาช่วยงาน มักจะสามารถดำเนินธุรกิจได้คล่องตัวและเข้าถึงช่องทางรายได้ใหม่ ๆ มากกว่าคู่แข่งที่ยังยึดติดกับวิธีเดิม ๆ ผู้ประกอบการรายย่อยควรให้ความสำคัญกับการมองหา เทคโนโลยีที่จะเป็นโซลูชันช่วยให้การดำเนินธุรกิจง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การใช้แอปฯ จัดการสต็อกสินค้าแทนการจดด้วยกระดาษ, การรับชำระเงินผ่าน Mobile Banking หรือ e-Wallet แทนเงินสด, ตลอดจนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการเก็บข้อมูลลูกค้า สิ่งเหล่านี้อาจต้องลงทุนเวลาเรียนรู้บ้างในช่วงแรก แต่ผลลัพธ์ระยะยาวคือความสะดวกรวดเร็วในการบริหารร้าน และข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจที่หาไม่ได้เลยหากยังใช้วิธีแบบเดิม เจ้าของร้านควรลองเปิดใจเริ่มทีละเล็กทีละน้อย เช่น เริ่มใช้โปรแกรมตารางงานฟรีในการจดบันทึกบัญชี หรือเริ่มขายของบนแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้ง่ายก่อน เมื่อคุ้นเคยแล้วจึงค่อยต่อยอดไปใช้เครื่องมือขั้นสูงขึ้นต่อไป การไม่กลัวที่จะทดลองสิ่งใหม่จะทำให้ร้านของชำของเราไม่หยุดนิ่งและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ
วางแผนระยะยาวให้ธุรกิจโตได้ – นอกจากการบริหารงานประจำวันแล้ว เจ้าของร้านควรเผื่อเวลาคิดถึงอนาคตของกิจการในระยะยาวด้วย การตั้งเป้าหมายระยะยาวจะช่วยกำหนดทิศทางให้กับร้านของเรา เช่น ภายใน 1-2 ปีอยากขยายสินค้าให้หลากหลายขึ้นหรือไม่, ใน 5 ปีข้างหน้าต้องการมีสาขาเพิ่มหรือปรับปรุงร้านให้ทันสมัยขึ้นอย่างไร การมีวิสัยทัศน์ระยะยาวเช่นนี้จะทำให้เราตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ และมองเห็นโอกาสในการเติบโตที่ชัดเจนขึ้น สิ่งสำคัญคือแผนระยะยาวนั้นควรยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพตลาด แต่ก็ควรมีเป็นแนวทางไว้เสมอเพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดอยู่กับที่ ยุคนี้ร้านโชห่วยไม่สามารถพึ่งแต่โชคหรือทำไปวัน ๆ ได้อีกต่อไป หากต้องการให้กิจการอยู่รอดรุ่นสู่รุ่น เจ้าของร้านต้องคิดและวางกลยุทธ์เหมือนที่นักธุรกิจมืออาชีพทำ ตั้งแต่การบริหารเงินทุน การพัฒนาบริการ ไปจนถึงการสร้างแบรนด์ร้านค้าให้เป็นที่จดจำของลูกค้าในชุมชน
ในขณะเดียวกัน การนำเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยบริหารร้านจะทำให้เราไปสู่เป้าหมายระยะยาวได้เร็วและมั่นคงขึ้น ตัวอย่างเช่นการใช้ ระบบ POS (Point of Sale) สมัยใหม่เข้ามาจัดการหน้าร้าน ระบบ POS แบบครบวงจรอย่าง StoreHub จะช่วยให้เจ้าของร้านของชำทำงานได้ง่ายขึ้นหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกยอดขายแบบอัตโนมัติ การจัดการสต็อกสินค้า การออกใบเสร็จ หรือดูรายงานการขายผ่านมือถือจากที่ไหนก็ได้แบบเรียลไทม์ ระบบเหล่านี้ช่วยลดความผิดพลาดในการขายและลดการสูญเสียจากการจัดการสินค้าที่ไม่เป็นระบบได้มาก จากข้อมูลพบว่าการใช้ระบบ POS ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถ “ตรวจสอบและติดตามการเงินได้ดีขึ้นด้วยรายงานแบบเรียลไทม์” อีกทั้งเครื่อง POS ยังช่วยลดความสิ้นเปลืองและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นผ่านระบบบริหารสินค้าคงคลังอัจฉริยะของมันด้วย หมายความว่าเราจะรู้ทันทีว่าสินค้าไหนขายดีหรือควรสั่งเพิ่ม สินค้าไหนใกล้จะหมดหรือค้างสต็อกนานเกินไป ทำให้การตัดสินใจสั่งของหรือจัดโปรโมชั่นแม่นยำยิ่งขึ้น เมื่อมีข้อมูลพร้อมและระบบจัดการที่ดี เจ้าของร้านก็สามารถโฟกัสไปที่การวางแผนขยายธุรกิจในภาพใหญ่ได้เต็มที่ เช่น คิดหาไอเดียดึงลูกค้าใหม่ ๆ หรือมองหาทำเลเปิดสาขาเพิ่ม โดยไม่ต้องกังวลว่างานขายประจำวันจะสะดุด เพราะมีผู้ช่วยอย่างระบบ POS คอยดูแล หลังบ้านให้อยู่มือ
คำถามที่พบบ่อย
โดยทั่วไปเริ่มต้นได้ตั้งแต่ประมาณ 50,000–150,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน ทำเล และว่ามีของพร้อมอยู่แล้วหรือไม่ เช่น ถ้ามีตู้แช่หรือชั้นวางของ อาจลดต้นทุนลงได้พอสมควร
จำเป็นครับ หากคุณเปิดร้านเพื่อค้าขายเป็นกิจการ ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ภายใน 30 วัน นับจากวันที่เริ่มกิจการ เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้ารายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี จะเสียแค่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่หากรายได้เกิน ต้องจด VAT และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
แนะนำให้ใช้ระบบ POS ที่สามารถดูรายงานยอดขายแบบเรียลไทม์ เพื่อวิเคราะห์ว่าสินค้าใดขายดีหรือขายไม่ออก จะช่วยให้บริหารสต๊อกได้แม่นยำขึ้น
ไม่จำเป็นแต่ “แนะนำให้มี” เพราะลูกค้ายุคนี้ใช้โซเชียลมีเดียและสั่งของผ่านแอปมากขึ้น การมีเพจ Facebook หรือเข้าร่วม GrabMart / LINE MAN จะช่วยเพิ่มลูกค้าได้มากขึ้น
ควรทำครับ แม้เป็นร้านเล็กก็สามารถจัดโปรฯ ได้ เช่น ซื้อครบ 100 บาท รับของแถม, บัตรสะสมแต้ม หรือคูปองลดราคา จะช่วยกระตุ้นยอดซื้อต่อบิลได้ดี
ได้แน่นอนครับ POS ยุคใหม่อย่าง StoreHub ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายแม้ไม่มีพื้นฐาน สามารถฝึกใช้ได้ในเวลาไม่นาน และมีทีมช่วยเหลือตลอดการใช้งาน
แหล่งข้อมูล
- ข้อมูลการเติบโตการค้าปลีกในปี 2568
- ร้านขายของชำ ธุรกิจดาวรุ่ง 2 ปีซ้อน
- ผู้บริโภคไปหน้าร้านมากขึ้น เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร
- การเตรียมตัวก่อนเปิดร้าน
- 10 อย่างก่อนจดทะเบียนการค้า
- ภาษีร้านขายของชำ
- การขออนุญาตขายสุรา (สำหรับรายใหม่)
- การขออนุญาตขายยาสูบ (สำหรับรายใหม่)
- เทคนิคจัดร้านขายของชำ
- วิธีการจัดร้านขายของชำ
- ยอดใช้ QR Payment
- กระแส Cashless Payment ในประเทศไทย
- รายงานการใช้งานด้านดิจิทัลของประเทศไทย 2025
- Grab x ร้านโชห่วย
- เทคนิคการทำบัญชีร้านขายของชำ
- เทคนิคกู้วิกฤตร้านชำ
- ทำไมธุรกิจขนาดเล็กควรใช้ระบบ POS