
ขายของออนไลน์อะไรดี 2025?
ส่อง 6 เทรนด์สินค้าขายง่าย กำไรดี
ประเทศไทยยังคงมีการเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2023 มียอดช้อปออนไลน์รวมสูงถึงประมาณ 700,000 ล้านบาท ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะโตปีละ ~25% ในช่วงปี 2024-2025 สินค้าที่ขายดีทางออนไลน์นั้นมีทั้งสินค้ากายภาพ (Physical goods) และสินค้าดิจิทัล (Digital goods) ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นตามพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ในบทความนี้เราจะยกตัวอย่างสินค้าขายดีอย่างละประเภท พร้อมวิเคราะห์แนวโน้ม ความนิยม, กลุ่มเป้าหมาย และ ช่องทางการขาย ที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำสำหรับมือใหม่ในการเลือกสินค้ามาขาย และสรุปจุดเด่นของช่องทางขายออนไลน์หลัก ๆ ในไทย
Top 3 สินค้าทั่วไปและ Top 3 สินค้าดิจิทัล ที่มาแรงในปี 2025
Top 3 สินค้ามาแรง
1. ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและการดูแลส่วนบุคคล
หมวดความงามและการดูแลตัวเองยังคงเป็นสินค้ากายภาพที่ได้รับความนิยมสูง ไม่ว่าจะเป็นสกินแคร์ เมคอัพ หรือผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวของไทยมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 1,084 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละประมาณ 4.24% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภคไทย
ที่น่าสนใจคือกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์ความงามมีความหลากหลายมากขึ้น ปัจจุบันไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่ซื้อสินค้าเหล่านี้ แต่รวมถึงผู้ชายและกลุ่มผู้บริโภค LGBTQ+ ด้วย ทำให้ตลาดความงามเติบโตใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ความนิยมนี้ครอบคลุมตั้งแต่สกินแคร์อย่างเซรั่มบำรุงผิวและครีมกันแดด ไปจนถึงเมคอัพไอเท็มใหม่ ๆ เช่น เครื่องสำอางแบบ clean beauty และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ ซึ่งผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพผิวและภาพลักษณ์มากขึ้น
- เหตุผลที่ขายดี: คนไทยทุกเพศทุกวัยหันมาใส่ใจภาพลักษณ์มากขึ้น มีการบำรุงผิวพรรณตามเทรนด์จากอินฟลูเอนเซอร์และโซเชียลมีเดีย
- แนวโน้มตลาด: ความนิยมสินค้าออร์แกนิก, วีแกน, ไม่มีพาราเบน, หรือสำหรับผิวแพ้ง่าย
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: ชอบดูรีวิวจากผู้ใช้จริง, มีพฤติกรรมตัดสินใจซื้อเร็วหากเห็นผลชัดเจนผ่านภาพหรือวิดีโอ
- เคล็ดลับการขาย: ทำคอนเทนต์ Before-After, รีวิวจากลูกค้า, หรือเทคนิคการใช้ให้เห็นผลใน 7 วัน
2. แฟชั่น & แอคเซสซอรี่
สินค้าแฟชั่นอย่างเสื้อผ้า รองเท้าหรือกระเป๋า เป็นอีกหมวดที่ขายดีสม่ำเสมอบนช่องทางออนไลน์ ตลาดเสื้อผ้าออนไลน์ในประเทศไทยปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 6.70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแม้อัตราการเติบโตต่อปีจะอยู่ราว 2.03% (ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับหมวดอื่น) แต่ก็ยังถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีการซื้อซ้ำประจำและเติบโตต่อเนื่องตามเทรนด์แฟชั่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ
สำหรับหมวดแฟชั่นแอคเซสซอรี่ (เช่น เครื่องประดับและกระเป๋า) ก็มีแนวโน้มสดใส มูลค่าตลาดประมาณ 3.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และคาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ ~4.59% ซึ่งถือว่าเติบโตดีทีเดียว สินค้ากลุ่มกระเป๋ายังคงครองสัดส่วนใหญ่ที่สุดของตลาดนี้ (มูลค่าประมาณ 1.88 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024) เทรนด์ที่มาแรงในหมวดแฟชั่นขณะนี้ ได้แก่ sustainable fashion (แฟชั่นรักษ์โลก), เสื้อผ้ากีฬาและชุดลำลอง (athleisure) และเครื่องประดับดีไซน์ไทยที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคยุคใหม่บนโลกออนไลน์
- เหตุผลที่ขายดี: เทรนด์แฟชั่นมาไวไปไว คนชอบเปลี่ยนลุคและมองหาไอเท็มใหม่ๆ อยู่เสมอ
- แนวโน้มตลาด: เสื้อผ้าโทนมินิมอล, Y2K, สไตล์เกาหลี, แอคเซสซอรี่งาน Handmade หรือแบรนด์เล็กที่มีเอกลักษณ์
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: ชอบซื้อจากภาพที่ใส่แล้วดูดี มี Mix & Match ชัดเจน หรืออินฟลูเอนเซอร์แนะนำ
- เคล็ดลับการขาย: โชว์ลุคเต็มตัว, วิดีโอหมุน 360°, ใช้ Influencer รีวิวเป็น Lookbook ใน TikTok/IG
3. ของใช้ภายในบ้าน & เครื่องครัวขนาดเล็ก
สินค้าหมวดของใช้ในบ้านและเครื่องครัวขนาดเล็กได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากผู้คนให้ความสำคัญกับการตกแต่งบ้านและทำอาหารเองที่บ้านมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ยอดขายหม้อทอดไร้น้ำมันของฟิลิปส์ในประเทศไทยช่วงปี 2562-2564 เพิ่มขึ้นกว่า 160% สะท้อนกระแสความนิยมอุปกรณ์ทำอาหารเพื่อสุขภาพในช่วงที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น นอกจากหม้อทอดไร้น้ำมันแล้ว เครื่องใช้เล็ก ๆ อย่างเครื่องปั่นอเนกประสงค์ เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก หรือเครื่องดูดฝุ่นไร้สาย ก็เป็นสินค้าที่ขายดีตามเทรนด์รักสุขภาพและความสะดวกสบายเช่นกัน
ในด้านของตกแต่งบ้านและการจัดเก็บก็มาแรงไม่แพ้กัน ผู้บริโภคยุคนี้นิยมสินค้าแต่งบ้านเก๋ ๆ เช่น โคมไฟดีไซน์สวย แจกันตกแต่ง และชั้นวางของติดผนัง รวมถึงกล่องเก็บของอเนกประสงค์ที่ช่วยจัดระเบียบพื้นที่อยู่อาศัย สินค้าเหล่านี้ตอบโจทย์ทั้งเรื่องฟังก์ชันการใช้สอยและความสวยงาม (home décor) ทำให้หมวดของใช้ในบ้านยังคงเติบโตต่อเนื่อง ผู้ขายที่นำเสนอสินค้าที่ทั้งมีประโยชน์และมีสไตล์จะมีโอกาสดึงดูดลูกค้าได้มากในตลาดนี้
- เหตุผลที่ขายดี: คนอยู่บ้านมากขึ้น, แต่งบ้านตามเทรนด์ Instagram/TikTok, มองหาความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
- แนวโน้มตลาด: สินค้าโทนสีเอิร์ธ/ครีม/ไม้, ฟังก์ชัน 2-in-1, ดีไซน์สวยใช้งานง่าย
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: ชอบรีวิวที่แสดงการใช้งานจริง, สนใจสินค้าขนาดกะทัดรัด ประหยัดไฟ
- เคล็ดลับการขาย: ถ่ายคลิปสาธิตการใช้งานในชีวิตประจำวัน, ทำคอนเทนต์ “ก่อน-หลังจัดบ้าน”, แนะนำสินค้าในหมวด “ของจุกจิกที่ใช้แล้วชีวิตดีขึ้น”
Top 3 สินค้าดิจิทัลยอดนิยม
1. คอร์สออนไลน์
คอร์สเรียนออนไลน์กลายเป็นสินค้าดิจิทัลกระแสหลักที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สการตลาดดิจิทัล คอร์สเขียนโปรแกรม หรือเรียนภาษา ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่น นอกจากนี้หลายหลักสูตรยังมาพร้อมใบรับรองหรือประกาศนียบัตร สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เรียนในการนำความรู้ไปต่อยอดอาชีพ
แนวโน้มของตลาด e-learning ทั่วโลกก็เติบโตอย่างแข็งแกร่ง คาดว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มจากประมาณ 314 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เป็น 354.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 (เติบโตราว 13% ภายในปีเดียว) สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่พุ่งสูงขึ้นของการเรียนออนไลน์ หลายองค์กรและสถาบันศึกษาเองก็เริ่มหันมาลงทุนสร้างหลักสูตรออนไลน์ของตน ดังนั้นการผลิตหรือขายคอร์สออนไลน์คุณภาพในหัวข้อที่ตลาดต้องการ (เช่น การตลาดดิจิทัล, เขียนโค้ดเบื้องต้น, ภาษาต่างประเทศ) จึงเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการสร้างรายได้บนโลกดิจิทัล
- เหตุผลที่ขายดี: คนไทยหันมา Upskill ตัวเอง, เรียนได้จากที่บ้านและยืดหยุ่น
- แนวโน้มตลาด: เน้น Practical ใช้ได้จริง, เรียนจบมีผลงาน, เรียนผ่านมือถือได้
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: มักสนใจเรียนฟรีก่อน แล้วค่อยซื้อคอร์สแบบพรีเมียม
- เคล็ดลับการขาย: แจกคลิปสั้นให้ความรู้ (micro content), อัปเดตคอร์สใหม่เรื่อยๆ, ใช้รีวิวจากผู้เรียนจริง
2. E-book & คู่มือดิจิทัล
หนังสือในรูปแบบอีบุ๊กและคู่มือความรู้ต่าง ๆ เป็นสินค้าดิจิทัลที่ขายดีอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดและเปิดอ่านได้ทันทีบนอุปกรณ์ของตน ไม่ต้องรอจัดส่งหรือเสียพื้นที่จัดเก็บ ตลาด E-book ทั่วโลกปี 2024 มีมูลค่าประมาณ 22,451 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย ~5% ต่อปีจนแตะ 36,570 ล้านดอลลาร์ในปี 2034 ซึ่งชี้ให้เห็นว่าผู้คนยังคงหันมาอ่านหนังสือดิจิทัลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคคอนเทนต์ก็เปลี่ยนไปในทิศทางที่นิยมเสพข้อมูลแบบรวดเร็วและพกพาสะดวก
E-book และคู่มือออนไลน์ได้รับความนิยมในหลายหมวดหมู่ โดยเฉพาะหนังสือแนวให้ความรู้และพัฒนาตนเอง เช่น หนังสือ How-To, คู่มือสุขภาพ, และหนังสือแนว self-help ที่ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ เนื้อหาประเภทนี้ตอบโจทย์ผู้อ่านที่ต้องการคำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงทันที การทำ E-book ขายในหัวข้อที่ตนถนัด หรือการรวบรวมความรู้เฉพาะด้านเป็นคู่มือแบบไฟล์ PDF ถือเป็นอีกช่องทางสร้างรายได้แบบ ขายความรู้ ที่ต้นทุนต่ำสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ยุคใหม่
- เหตุผลที่ขายดี: ราคาย่อมเยา, เข้าถึงง่าย, โหลดใช้ได้ทันที
- แนวโน้มตลาด: เนื้อหาย่อยง่าย, สวยอ่านง่าย, PDF ที่ใช้ได้ทั้งมือถือ/คอมพ์
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: ชอบโหลดจาก Creator ที่ติดตามอยู่, หรือที่มี Packaging ดึงดูด
- เคล็ดลับการขาย: ตั้งราคาน่าซื้อ (99-199 บาท), ทำโปรขายเป็น Bundle, มี Landing Page ที่น่าเชื่อถือ
3. Template & Asset ดิจิทัล
ไฟล์เทมเพลตและสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ ถือเป็นอีกหมวดที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ความจริงแล้วสินค้าประเภทนี้มีความต้องการสูงมากบนตลาดออนไลน์ เพราะช่วยประหยัดเวลาผู้ใช้งานและนำไปใช้ซ้ำได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น ไฟล์แม่แบบเรซูเม่ (Resume Template) ที่ช่วยให้ผู้สมัครงานสามารถสร้างประวัติส่วนตัวสวย ๆ ได้อย่างรวดเร็ว หรือ เทมเพลตงานออกแบบบน Canva ที่เจ้าของธุรกิจขนาดเล็กสามารถนำไปปรับใช้ทำโพสต์โปรโมตได้เองโดยไม่ต้องมีทักษะกราฟิกขั้นสูง สินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ที่ขายดี ได้แก่ ฟอนต์ดีไซน์สวยๆ สำหรับงานออกแบบ, ไฟล์ภาพกราฟิก mockup ให้แม่ค้าออนไลน์นำไปใช้โชว์สินค้าของตน, รวมถึงเพลงประกอบหรือซาวด์เอฟเฟกต์สำหรับใช้ตัดต่อวิดีโอและพอดแคสต์ เป็นต้น
แพลตฟอร์มตลาดสินค้าออนไลน์อย่าง Etsy นั้นมีผู้ซื้ออยู่มากกว่า 95 ล้านคนทั่วโลก ทำให้การขายสินค้าดิจิทัลดาวน์โหลดเหล่านี้เข้าถึงลูกค้าได้วงกว้างโดยไม่ต้องส่งสินค้าเป็นชิ้น เพียงผู้ขายสร้างไฟล์เทมเพลตหรือสินทรัพย์หนึ่งครั้ง ก็สามารถวางขายซ้ำได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ต้นทุนการผลิตเพิ่มเติมแทบไม่มี จึงกำไรดีและกลายเป็นช่องทางรายได้แบบพาสซีฟที่มาแรง ผู้ประกอบการยุคใหม่ที่มีทักษะด้านงานดีไซน์หรือคอนเทนต์สามารถสร้างรายได้จากการขาย Template & Asset ดิจิทัล เหล่านี้ได้ง่าย ๆ ผ่านตลาดออนไลน์ต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น Etsy, Creative Market หรือขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเองโดยตรงก็ทำได้เช่นกัน
- เหตุผลที่ขายดี: ใช้ได้ซ้ำ, ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอด, มีดีไซน์ช่วยประหยัดเวลา
- แนวโน้มตลาด: ใช้ในงาน Digital Creator, Content Marketing, หรือ Resume/Portfolio
- Insight พฤติกรรมลูกค้า: สนใจจาก “ตัวอย่างเทมเพลต” ที่โพสต์ใน IG/TikTok
- เคล็ดลับการขาย: โพสต์ตัวอย่าง/Mockup ให้เห็นหน้าตาจริง, ทำ Highlight บน IG, สร้าง Shop บน Gumroad หรือ Ko-fi
คำแนะนำในการเลือกสินค้ามาขายออนไลน์สำหรับมือใหม่
การเลือกว่าจะขายอะไรดีถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ สิ่งสำคัญคือการหาสินค้าที่ทั้งตรงกับความสนใจ/ความถนัดของผู้ขายและมีความต้องการในตลาด ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นในการเลือกสินค้าให้ขายดีและมีโอกาสเติบโต:
การขายของที่เราสนใจจะช่วยให้เราเข้าใจลูกค้าและตัวสินค้าได้ดีกว่า ตัวอย่างเช่น: หากคุณชอบแต่งตัวและติดตามเทรนด์แฟชั่นอยู่แล้ว คุณย่อมรู้ว่าเสื้อผ้าแบบใดกำลังมาแรงและน่าจะขายง่าย ความรู้และอินไซด์ตรงนี้จะช่วยในการคัดเลือกสินค้าที่ “เข้าตา” กลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดกว่า (ในทางกลับกัน หากเลือกขายสินค้าที่ตัวเองไม่ถนัดเลย อาจทำให้ไม่เข้าใจตลาดและตอบคำถามลูกค้าไม่เต็มที่)
ก่อนตัดสินใจเลือกสินค้า ควรสำรวจแนวโน้มความนิยมของสินค้าประเภทต่าง ๆ เช่น ใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends ในการตรวจสอบว่าผู้คนกำลังสนใจค้นหาเรื่องอะไร สินค้าไหนเป็นกระแส และมีช่องว่างตรงไหนในตลาด ข้อมูลการค้นหาและเทรนด์นี้จะช่วยให้เราเลือกสินค้าที่มีแนวโน้มขายดี (เช่น พบว่าช่วงนี้คนค้นหาคำว่า “อุปกรณ์ออกกำลังกายที่บ้าน” เพิ่มขึ้นมาก ก็อาจพิจารณานำสินค้าในกลุ่มฟิตเนสในบ้านมาขาย) นอกจากนี้การดูรายงานหรือบทวิเคราะห์ตลาดจากแหล่งที่เชื่อถือได้ (เช่น รายงานเทรนด์จาก Shopee, Lazada, หรือบทความการตลาดต่าง ๆ) ก็ช่วยชี้แนวทางสินค้ายอดนิยมได้เช่นกัน
เมื่อมีไอเดียสินค้าเบื้องต้นแล้ว ให้ทำ การวิจัยตลาด ในกลุ่มสินค้านั้น ๆ ต่อ เริ่มจากการวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายว่าเป็นใคร มีพฤติกรรมการซื้ออย่างไร จากนั้นศึกษาคู่แข่งที่ขายสินค้าคล้ายกัน ดูว่าพวกเขาขายอะไร ราคาเท่าไร โปรโมตผ่านช่องทางไหนบ้าง การทำวิจัยนี้จะช่วยให้เราเห็นโอกาสในการสร้างความแตกต่าง เช่น อาจพบว่าสินค้าประเภทนี้ยังไม่มีคนเจาะกลุ่มลูกค้าบางกลุ่ม หรือไม่มีแบรนด์ไหนเน้นจุดขายบางอย่าง เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปใช้วางแผนปรับสินค้า/การตลาดของเราให้โดดเด่นกว่าคู่แข่งได้
สำหรับมือใหม่ ไม่ควรทุ่มทุนสต็อกสินค้าจำนวนมากตั้งแต่แรก ควรเริ่มจากล็อตเล็ก ๆ หรือรูปแบบ พรีออเดอร์/ดรอปชิป เพื่อลดความเสี่ยง แล้วทดลองขายในกลุ่มเล็ก ๆ (เช่น เปิดขายในหมู่เพื่อนหรือในกลุ่มออนไลน์เล็ก ๆ ก่อน) เพื่อเก็บความคิดเห็นและดูว่าลูกค้าชอบสินค้าของเราหรือไม่ ฟีดแบ็กจากกลุ่มทดลองนี้มีค่ามาก เพราะเราสามารถนำมาปรับปรุงสินค้า บริการ หรือการนำเสนอขายให้ดีขึ้น ก่อนจะขยายการขายไปสู่ตลาดวงกว้างต่อไป
การเลือกสินค้าที่ดีต้องคำนึงถึง ความคุ้มค่าเชิงธุรกิจ ด้วย มือใหม่ควรคำนวณต้นทุนต่าง ๆ อย่างรอบคอบ (ราคาต้นทุนสินค้า, ค่าส่ง, ค่าการตลาด, แพลตฟอร์มฟี etc.) เปรียบเทียบกับราคาขายในตลาดว่ามีกำไรเพียงพอหรือไม่ นอกจากนี้ควรมองหา แหล่งซัพพลาย ที่เชื่อถือได้และให้ราคาต้นทุนต่ำ เช่น ตลาดขายส่งหรือโรงงานผู้ผลิตโดยตรง หรือแม้แต่การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศถ้าคุ้มทุน การได้แหล่งสินค้าราคาดีย่อมทำให้เราตั้งราคาขายแข่งขันได้ โดยไม่ลดคุณภาพ เมื่อมั่นใจเรื่องต้นทุนและซัพพลายแล้ว เราจะเลือกสินค้ามาขายได้อย่างสบายใจขึ้นว่าทำกำไรได้แน่นอน
(เมื่อผ่านขั้นตอนเลือกสินค้าแล้ว ขั้นต่อไปผู้ขายมือใหม่ควรมีการวางแผนธุรกิจคร่าว ๆ กำหนดกลยุทธ์การตลาด ช่องทางการขาย และตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นแผนที่นำทางในการดำเนินธุรกิจออนไลน์ต่อไป ทั้งนี้การพัฒนาทักษะต่าง ๆ เช่น การสื่อสารกับลูกค้า, ความรู้เรื่องแพลตฟอร์มออนไลน์, การวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ ก็จะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ใหม่ของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน)
จุดเด่นของช่องทางการขายออนไลน์ต่าง ๆ
ช่องทางการขายของออนไลน์ในไทยมีหลายแพลตฟอร์ม โดยแต่ละช่องทางมีลักษณะเด่นและเหมาะกับสินค้าหรือกลยุทธ์ที่ต่างกัน จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคช่วงต้นปี 2024 พบว่าแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทยในการซื้อของออนไลน์ 30 วันที่ผ่านมา อันดับ 1 คือ Shopee (ใช้โดย 75% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) รองลงมาคือ Lazada (67%) และ TikTok (51%) ตามด้วย Facebook (39%), LINE (24%) และ Instagram (16%) เป็นต้น แต่ละแพลตฟอร์มดังกล่าวมีข้อดีเฉพาะตัว ดังนี้:
Marketplace อันดับหนึ่งในไทยที่มีสินค้าหลากหลายและผู้ใช้งานจำนวนมาก จุดเด่นคือมีโปรโมชั่นและฟีเจอร์ส่งเสริมการขายเยอะ เช่น แฟลชเซลล์ (Flash Sale) ลดราคาสินค้าเป็นช่วงเวลา, โค้ดส่วนลดและโค้ดส่งฟรี ที่กระตุ้นให้ลูกค้าซื้อทันที นอกจากนี้ Shopee ยังมีระบบรีวิวจากผู้ซื้อและระบบค้นหาสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้าหาสินค้าเจอและมั่นใจในการซื้อ สินค้าราคาไม่แพงจนถึงปานกลางขายดีมากบน Shopee เพราะกลุ่มลูกค้าหลักเป็นนักช้อปที่มองหาของราคาคุ้มค่า ทั้งนี้ข้อมูลยังชี้ว่าสินค้าขายดีบน Shopee ส่วนใหญ่คือหมวดแฟชั่น ของใช้ในบ้าน และสุขภาพความงาม ซึ่งสะท้อนว่าแพลตฟอร์มนี้เหมาะกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
Marketplace รายใหญ่อีกรายที่โดดเด่นด้านความน่าเชื่อถือและแบรนด์สินค้าทางการ (Official Brands) หลายแบรนด์มีร้านค้า LazMall บนแพลตฟอร์มนี้ ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ต้องการของแท้และยอมจ่ายในราคาสูงขึ้นได้ จุดเด่นของ Lazada คือแคมเปญลดราคาใหญ่ประจำปี (เช่น 11.11, 12.12) และระบบโลจิสติกส์ที่แข็งแรงจากการสนับสนุนของเครือ Alibaba สินค้าหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขายดีมากบน Lazada เพราะลูกค้ามักเลือกซื้อของชิ้นใหญ่ที่ต้องการความเชื่อถือเรื่องการรับประกัน อีกทั้ง Lazada มีฟีเจอร์เปรียบเทียบราคาและรายละเอียดสินค้าชัดเจน เหมาะกับสินค้าที่ลูกค้าอยากพิจารณาข้อมูลก่อนซื้อ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, มือถือ, สินค้าสำหรับแม่และเด็ก เป็นต้น (ซึ่งหมวดหลังนี้ก็เป็นอีกหมวดขายดีของ Lazada ในไทยเช่นกัน)
ช่องทางอีคอมเมิร์ซน้องใหม่มาแรงที่ผสานกับความบันเทิงและโซเชียลมีเดียบนแอป TikTok จุดเด่นคือการขายผ่าน วิดีโอสั้นและไลฟ์สด ที่สามารถสร้างกระแสไวรัลให้สินค้าดังชั่วข้ามคืนได้ เหมาะมากกับสินค้าที่ ราคาไม่สูงและเป็นที่สนใจแบบกระแส (impulse buy) เพราะผู้ชมมักตัดสินใจซื้อทันทีจากความตื่นเต้นหรือความแปลกใหม่ขณะดูวิดีโอ ข้อมูลในอุตสาหกรรมชี้ว่า มูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (AOV) บน TikTok มักต่ำกว่าใน Marketplace อื่น ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะสินค้าที่ขายดีบน TikTok เช่น สินค้าแฟชั่นราคาย่อมเยา, สินค้าความงาม/ของใช้ส่วนตัวชิ้นเล็กๆ, ของจิปาถะน่ารัก หรืออาหารขนมทานเล่น เป็นต้น การขายบน TikTok Shop มักได้ผลดีเมื่อใช้พรีเซ็นเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้าอย่างน่าสนใจ และมีโปรโมชันลดแรงๆ ระหว่างไลฟ์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชม “กดซื้อ” ทันที อีกทั้งระบบตะกร้าสินค้าใน TikTok ก็ทำให้ซื้อได้ในไม่กี่คลิกโดยไม่ต้องออกจากแอป
แม้ Facebook จะไม่ได้มีระบบตะกร้าชำระเงินในตัวเหมือนแพลตฟอร์มข้างต้น แต่ก็เป็น ช่องทาง Social Commerce ที่สำคัญที่สุดในไทยมาหลายปี ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากเริ่มสร้างตัวตนผ่าน เพจ Facebook และใช้วิธีโพสต์ขายหรือ ไลฟ์สดขายของ บนแพลตฟอร์มนี้ ข้อดีคือ Facebook มีกลุ่มผู้ใช้หลากหลายช่วงอายุ (ค่อนข้างกว้างกว่าแพลตฟอร์มอื่น) และระบบ Facebook Groups ที่รวมตัวคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน ทำให้พ่อค้าแม่ค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้ผ่านการเข้าร่วมกลุ่มหรือสร้างชุมชนของตัวเอง จุดเด่นอีกอย่างคือการทำ โฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Ads) ที่ทรงพลังมาก ผู้ขายสามารถลงโฆษณาให้เข้าถึงคนที่มีความสนใจหรือพฤติกรรมตรงกับสินค้าที่ขายได้อย่างละเอียด ส่งผลให้เพิ่มโอกาสปิดการขายได้สูง หากเทียบสัดส่วนการใช้งานแล้ว ในช่วงต้นปี 2024 มีคนไทยราว 39% ซื้อสินค้าผ่าน Facebook ภายในหนึ่งเดือน ซึ่งถือว่าไม่น้อยเมื่อเทียบกับมาร์เก็ตเพลส และสะท้อนว่า Facebook ยังคงเป็นช่องทางขายของออนไลน์ที่ทำเงินได้ดี โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องการการสร้างคอมมูนิตี้หรือเน้นการสื่อสารกับลูกค้าโดยตรง
เป็นช่องทางโซเชียลที่เน้นการแชร์รูปภาพและวิดีโอสั้น ทำให้เหมาะมากกับการขายสินค้าที่มีความสวยงามหรือเป็นไลฟ์สไตล์ เช่น แฟชั่น, เครื่องประดับ, เครื่องสำอาง, อาหารหน้าตาสวยงาม ฯลฯ ผู้ขายสามารถใช้ Instagram ในการโชว์รูปสินค้าแบบมืออาชีพและสร้าง Brand Story ผ่านฟีดและสตอรี่ จุดเด่นของ IG คือเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยรุ่น-วัยทำงานตอนต้นได้ดี (ฐานผู้ใช้ IG มักอายุน้อยกว่า FB) การใช้ Influencer Marketing บน IG เป็นเทคนิคยอดนิยมที่ช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ IG มีฟีเจอร์ Instagram Shopping ที่ติดแท็กสินค้าในโพสต์และพาไปยังหน้าซื้อสินค้าได้โดยตรง ช่วยลดขั้นตอนในการซื้อ สินค้าที่ภาพลักษณ์สวยเก๋มักขายดีบน IG เพราะผู้คนมาเสพแรงบันดาลใจและพร้อมจะซื้อของที่สะท้อนตัวตนหรือรสนิยมของพวกเขา อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ซื้อขายผ่าน IG ยังไม่มากเท่า Facebook (คิดเป็น ~16% ของผู้ซื้อออนไลน์รายเดือนช่วงต้นปี 2024) แต่ก็มีแนวโน้มเติบโตตามการเพิ่มขึ้นของฟีเจอร์ช้อปปิ้งและพฤติกรรมการซื้อของคนรุ่นใหม่
ทั้งนี้ การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมักไม่ยึดติดเพียงช่องทางเดียว ผู้ประกอบการหลายรายเลือกใช้ กลยุทธ์ Omnichannel คือลงสินค้าหลายๆ แพลตฟอร์มควบคู่กัน เช่น มีหน้าร้านบน Shopee/Lazada ควบคู่กับการทำเพจ Facebook และ IG เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด การเข้าใจจุดเด่นของแต่ละช่องทางดังที่กล่าวมาจะช่วยให้ผู้ขายเลือกใช้ช่องทางให้เหมาะกับประเภทสินค้าของตน และดึงศักยภาพของแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้ในการทำการตลาดได้อย่างเต็มที่
สรุป: เริ่มต้นขายของออนไลน์ 2025 ด้วยสิ่งที่ใช่ + ระบบที่พร้อม
บางครั้ง…คำถามว่า “จะขายอะไรดี?” ก็อาจไม่สำคัญเท่ากับการได้ลงมือเริ่มจริง ๆ สินค้าที่ขายดีไม่จำเป็นต้องฮิตที่สุด แพงที่สุด หรือเป็นที่นิยมในทุกกลุ่ม แค่คุณ “เข้าใจมัน” และ “กล้าที่จะสื่อสารคุณค่าของมันออกไป” นั่นก็เพียงพอที่จะเริ่มต้นแล้ว บทความนี้อาจเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณเห็นภาพชัดขึ้น ว่าสินค้าแบบไหนกำลังมา ช่องทางไหนที่เหมาะ และคุณสามารถต่อยอดจากสิ่งที่คุณมีอยู่ได้อย่างไร ปี 2025 กำลังเปิดโอกาสใหม่ให้ทุกคนที่อยากสร้างรายได้ออนไลน์ ไม่ว่าจะเริ่มจากของชิ้นเล็ก ๆ หรือไฟล์ดิจิทัลที่คุณทำเอง
แต่อย่าลืมว่า…การจะขายของให้ราบรื่นและเติบโตได้ในระยะยาว ไม่ได้จบแค่การมีสินค้า แต่ต้องมี “ระบบ” ที่ช่วยจัดการหลังบ้านให้คุณด้วย StoreHub POS คือระบบจัดการร้านแบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ขายยุคนี้ ตั้งแต่การบริหารสต๊อก เชื่อมต่อออเดอร์จากหลายช่องทาง ยิงบิลออนไลน์ ไปจนถึงระบบ CRM ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น คุณจะได้โฟกัสกับสิ่งสำคัญที่สุด: การเติบโตของธุรกิจของคุณเอง และถ้าคุณกำลังรอ “สัญญาณบางอย่าง” ให้เริ่มต้น… นี่อาจเป็นมันก็ได้
คำถามที่พบบ่อย
เริ่มจากสินค้าที่ไม่ต้องสต็อกเยอะ เช่น ของชิ้นเล็ก ต้นทุนต่ำ หรือใช้ระบบพรีออเดอร์/ดรอปชิป เพื่อทดสอบตลาดก่อนลงทุนจริง
ไม่จำเป็นสำหรับเริ่มต้น แพลตฟอร์มอย่าง Shopee, TikTok Shop หรือ Facebook ก็สามารถเริ่มขายได้ทันที แต่ถ้าอยากสร้างแบรนด์ระยะยาว การมีเว็บไซต์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
สำหรับเริ่มต้นยังไม่จำเป็น แต่ถ้ามีรายได้ต่อเนื่องหรือมียอดขายมากขึ้น การจดทะเบียนร้าน/นิติบุคคลจะช่วยเรื่องภาษี ความน่าเชื่อถือ และการขยายธุรกิจในอนาคต
สังเกตจากยอดเข้าชม ยอดสั่งซื้อ และฟีดแบกลูกค้าในช่วงแรก หากไม่ตอบรับดี ควรปรับกลุ่มเป้าหมายหรือคอนเทนต์ให้ชัดเจนขึ้น หรือทดสอบสินค้าใหม่ที่ใกล้เคียง
พื้นฐานที่ควรมีคือระบบจัดการสต๊อก ออเดอร์ และช่องทางชำระเงิน หากมีหลายช่องทางขาย ควรใช้ระบบ POS อย่าง StoreHub ที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว
ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า TikTok Shop เหมาะกับสินค้าราคาไม่แพง ใช้คอนเทนต์ดึงดูดลูกค้าเร็ว ส่วน Shopee เหมาะกับการสร้างร้านให้มั่นคงและทำโปรโมชันในระบบ
ขึ้นอยู่กับสินค้า กลุ่มเป้าหมาย และความขยันในการทำคอนเทนต์/โปรโมชัน บางคนเริ่มมีออเดอร์ใน 1 สัปดาห์ แต่โดยเฉลี่ยต้องใช้เวลา 1-3 เดือนในการปรับตัวและเริ่มมีกำไร