ถ้าเราบอกว่า Email Marketing เป็นเครื่องมือการทำการตลาดชั้นเยี่ยมและสามารถดึงดูดลูกค้าได้เป็นอย่างดีคุณจะเชื่อไหม?
ขอบอกเลยว่าอย่ามองข้ามเทคนิคการตลาดข้อนี้ไปเป็นอันขาด !
เพราะถ้าคุณอยากให้ร้านค้าและร้านอาหารของคุณประสบความสำเร็จละก็ Email Marketing นี่แหละที่จะทำให้คุณบรรลุเป้าหมายง่ายขึ้น
แต่ก่อนอื่นเลย Email Marketing คืออะไร ?
Email Marketing คือ วิธีการส่งข้อความการตลาด หรือ ข้อความการทำมาร์เก็ตติ้ง ไปยังลูกค้าใหม่และลูกค้าที่คุณมีผ่านอีเมล
จุดประสงค์หลักอีเมลมาร์เก็ตติ้งนี้ก็คือ โปรโมทและขายสินค้า รวมทั้งการให้ความรู้และสร้างความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ไปพร้อม ๆ กัน
และบอกเลยว่า งานนี้ใครที่ยังคิดว่า Email Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ล้าสมัย คุณคิดผิด !
เพราะแม้จะมีหลากหลายช่องทางการสื่อสารและทำการตลาดระหว่างแบรนด์กับลูกค้า แต่ลูกค้าของคุณก็ยังอยากได้โปรโมชั่นและข่าวสารต่าง ๆ ผ่านช่องทางอีเมลอยู่ดี ดังนั้นจะเห็นหลายแบรนด์ดังอย่าง Kate Spade, Michor Kors, Pomelo และแบรนด์อื่น ๆ ยังคงส่งอีเมลแจ้งข่าวสารและเรื่องราวดี ๆ ไปยังลูกค้ากันอยู่
อีกอย่างคุณรู้ไหมว่ามีการศึกษาของ MarketingSherpa พบว่า 60% ของลูกค้าเลือกรับอีเมลจากแบรนด์เพื่อติดตามโปรโมชั่นและดีล และมีลูกค้าเพียง 20% เท่านั้นที่ติดตาม Social Media ของแบรนด์
ดังนั้นเห็นแล้วใช่ไหมว่า Email Marketing เป็นเครื่องมือการตลาดที่มีประสิทธิภาพไม่น้อยเลย ! ขอเพียงแค่ประยุกต์สไตล์การเขียนอีเมลให้เกี่ยวข้องกับสินค้าและสื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุดก็มีโอกาสประสบความสำเร็จแล้ว
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Email Marketing?
หากคุณสงสัยว่าทำไมที่ร้านจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการตลาดอีเมล นี่คือเหตุผลง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณเห็นถึงข้อดีของกลยุทธ์การตลาดอันนี้มากยิ่งขึ้น :-
- อีเมลยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารอันดับ 1 ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ซึ่งจากการศึกษาของ Sleeknote นั้นบอกว่า 99% ของลูกค้ามักจะเช็คอีเมลเป็นประจำทุกวัน ทั้งยังมีลูกค้าบางคนที่ใช้เวลาเช็คอีเมลมากถึง 20 นาทีต่อวัน !
- Email Marketing มีผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI: Retrun on Investment) ที่น่าพอใจมากถึง 4,400% (ข้อมูลจาก Optinmonster) นั่นหมายความว่าทุก ๆ 10 บาทที่จ่ายไปกับการตลาดอีเมล คุณจะได้รับกลับคืนมามากถึง 440 บาท ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ ?
- มูลค่าโดยเฉลี่ยของออเดอร์ต่อ 1 อีเมลนั้นสูงกว่าออเดอร์จาก Social Media มากถึง 3 เท่า !
- Email Marketing คือวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับลูกค้า
- เหตุผลเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้เจ้าของร้านค้าปลีกและร้านอาหารเช่นคุณหันมาให้ความสำคัญกับ Email Marketing หรือยัง ?
ส่วนเราคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการยุคใหม่จะใช้เทคนิคการตลาดนี้พิชิตใจลูกค้าและให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จในยุคนี้ !
เริ่มต้นทำ Email Marketing ง่าย ๆ ด้วย 5 ขั้นตอน
มาถึงขั้นตอนที่ต้องเริ่มลงมือทำกันแล้ว แล้วจะเริ่มต้นกลยุทธ์การตลาด Email Marketing นี้ยังไงกันล่ะ ?
ไม่ต้องห่วง เพราะเรารวม 5 ขั้นตอนการทำ Email Marketing ง่าย ๆ มาฝากแล้วที่นี่ ขอบอกเลยว่าแม้คุณจะเป็นมือใหม่ก็ทำตามได้ไม่มีสับสนแน่นอน!
และขั้นตอนที่ว่านี้ก็คือ . . .
1. กำหนดเป้าหมายในการทำ Email Marketing
สิ่งแรกที่คุณต้องทำเลยก็คือ กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการส่งอีเมล และ 3 สิ่งต่อไปนี้ก็เป็นประเภทของอีเมลที่นิยมใช้กันในการทำ Email Marketing
- Transaction Email – อีเมลที่ส่งออกไปขณะทำธุรกรรมหรือทำรายการต่าง ๆ เช่น การยืนยันสมาชิก, ยืนยันออเดอร์, ยืนยันการสั่งซื้อสินค้า, ใบเสร็จ, ฟีดแบ็คลูกค้า ฯลฯ
- Promotional Email – อีเมลประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อโปรโมชั่นพิเศษที่ทางร้านคิดขึ้นมา เช่น Happy Hour Deal รับส่วนลดพิเศษเฉพาะชั่วโมงนั้น ๆ ส่วนลดสำหรับเมนูใหม่ และโปรโมชั่นช่วงเทศกาล เป็นต้น
- Lifecycle Email – อีเมลประเภทนี้มีตั้งแต่ขั้นตอนการทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ และยังมีการกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ Lifecycle Email จะถูกส่งออกไปตาม Customer Journey ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าอยู่ตรงไหน อาจจะเป็นส่วนของการสร้าง Brand Awareness กระตุ้นความสนใจ สร้างแรงจูงใจให้ซื้อ หรือว่าซื้อไปแล้วก็ได้
ตัวอย่าง
- อีเมลต้อนรับลูกค้ามัก ทางร้านมักจะส่งไปหลังจากที่ลูกค้าเลือกเข้าร่วมหรือสมัครเป็นลูกค้าสมาชิกของร้าน
- อีเมลขอบคุณ คุณจะส่งอีเมลนี้หาลูกค้าเมื่อลูกค้ามาทานอาหารที่ร้านหรือเลือกซื้อสินค้าและบริการที่ร้านของคุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- อีเมลกระตุ้นการซื้อซ้ำ ทางร้านจะส่งอีเมลนี้ไปเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้ง
ทั้ง 3 อีเมลในตัวอย่างนี้ ทางร้านจะต้องใช้เทมเพลตที่แตกต่างกันเพื่อส่งไปยังกลุ่มลูกค้าแต่ละประเภท ดังนั้นหากคุณสามารถวางแผนล่วงหน้าไว้ได้ ก็จะช่วยให้การทำ Email Marketing สะดวกรวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น
2. สร้างลิสต์อีเมลของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
สิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจะต้องไม่ลืมในขั้นตอนการสร้างลิสต์อีเมลลูกค้าก็คือ ทางร้านจะต้องได้รับอนุญาตจากลูกค้า คือลูกค้าจะต้องยินยอมให้ทางร้านส่งอีเมลโปรโมชั่นและอีเมลต่าง ๆ หาด้วยความสมัครใจ
แล้วทีนี้คุณจะทำยังไงให้ได้อีเมลของลูกค้ามาล่ะ ? ขอบอกเลยว่าไม่ยากอย่างที่คิด
และนี่ก็คือเทคนิคการขออีเมลลูกค้าเพื่อทำ Email Marketing ในเบื้องต้น :-
- ขออีเมลจากลูกค้าโดยตรง มอบข้อเสนอสุดพิเศษจากลูกค้า เช่น บอกลูกค้าว่าทางร้านจะส่งดีล โปรโมชั่น และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ไปยังอีเมลของลูกค้า ให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าและลองเมนูใหม่ ๆ ของร้านก่อนใคร
- มีแบบฟอร์มให้ลูกค้ากรอกเพื่อแสดงความสนใจบนหน้าเว็บไซต์หรือเว็บของโต๊ะร้านอาหารออนไลน์ของคุณ
- มีโปรแกรมพิเศษสำหรับลูกค้าที่แนะนำเพื่อนมาซื้อสินค้าและบริการของร้าน โดยมอบส่วนลดเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้า เช่น “รับลด 50 บาทต่อคนเมื่อแนะนำเพื่อนได้สำเร็จ”
- มีแคมเปญแข่งขัน เช่น ที่ร้านอาจจะมีแคมเปญแจกของรางวัลทุกอาทิตย์ และสิ่งที่ลูกค้าจะต้องทำก็คือ กรอกอีเมลกับทางร้านเพื่อรับข่าวสารดี ๆ แบบนี้
- บอกข้อดีของการกรอกอีเมลกับทางร้าน เช่น ลูกค้าจะได้รับคอนเทนต์ดี ๆ ซึ่งหากเป็นร้านขายเครื่องสำอางก็อาจจะส่งเป็นเคล็ดลับดูแลผิวหน้า หากขายเสื้อผ้าก็อาจจะเป็นเทรนด์การแต่งตัว หรือถ้าเป็นร้านกาแฟและร้านอาหาร ก็อาจจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการทำกาแฟเมนูโปรดและอาหารจานพิเศษ เป็นต้น
จำไว้เลยว่ายิ่งคุณมีลิสต์อีเมลลูกค้ามากเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายก็ยิ่งมากเท่านั้น และโอการในการเพิ่มยอดขายทำกำไรให้กับก็จะมากตามไปด้วย !
3. ร่างอีเมลด้วยเนื้อหาที่ตรงใจ เพื่อโน้มน้าวลูกค้า
เมื่อรู้แล้วว่าจะส่งอีเมลแบบไหนไปหาลูกค้าและมีลิสต์ในการทำ Email Marketing แล้ว
ตอนนี้ก็มาถึงขั้นตอนที่ยากที่สุด นั่นก็คือ การเขียนอีเมล
แต่…ไม่ต้องกังวลไป เพราะเรามี Best Practice หรือแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเขียนอีเมลมาฝากแล้วที่นี่ ซึ่งคุณสามารถใช้เป็นไกด์ไลน์ ให้เขียนอีเมลหาลูกค้าได้ง่ายขึ้น ได้แก่
- คิดในมุมของลูกค้า – ลองคิดดูซิว่าถ้าคุณเป็นลูกค้า คุณจะอยากได้อีเมลแบบไหน ลองทำความเข้าใจและหาเหตุผลว่าทำไมคุณถึงอยากซื้อสินค้าและเลือกรับอีเมลจากทางร้าน วิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจตัวลูกค้าและส่งอีเมลได้ตรงความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
- หัวข้ออีเมลต้องน่าคลิก – หัวข้ออีเมลจะบอกได้เลยว่าลูกค้าจะเปิดอ่านอีเมลของคุณหรือเปล่า ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การพาดหัวข้อที่น่าคลิก (Click-bait) หรือจะใช้ CTA เพื่อกระตุ้นการกระทำก็เป็นเทคนิคการเขียนอีเมลที่น่าลองเช่นกัน เช่น “เดรสสวย ๆ รับซัมเมอร์ กับของมันต้องมี ! ”, “วันสุดท้าย! โปรโม 1 แถม 1 เมนูฮิตของร้าน”
- ใส่ CTA (Call-To-Action) เพื่อกระตุ้นการกระทำของลูกค้าเสมอ – ใส่ลิงค์ในอีเมลเพื่อให้ลูกค้าของคุณมีส่วนร่วมกับแบรนด์หรือร้าน เช่น ลิงค์หน้าสินค้าที่ต้องการโปรโมท ลิงค์จองโต๊ะร้านอาหาร ลิงค์จองทำผม หรือลิงค์เวาเชอร์ส่วนลด
- ใส่รูปสวย ๆ – ให้ภาพเล่าเรื่องราวแทนคำพูด อย่าลืมแนบภาพสวย ๆ ไปกับอีเมลของคุณด้วย เพื่อโน้มน้าวให้ลูกค้าคลิกเพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือสั่งอาหารจากร้านคุณ
- Upsell ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ – ไฮไลท์สินค้าใหม่และเมนูใหม่เพื่อดึงดูดลูกค้า หรือจะเป็นสินค้าขายดีและเมนูแนะนำของทางร้านก็ได้
- ใส่ข้อมูลการติดต่อ – อย่าลืมใส่ข้อมูลการติดต่อของร้านอย่างที่อยู่และเบอร์โทรด้วย
- ส่งอีเมลไปล่วงหน้าเพื่อกระตุ้นความสนใจ – ส่งอีเมลไปกระตุ้นความสนใจลูกค้าก่อน เช่น ส่งไปก่อนมื้ออาหาร หรือเทศกาลลดราคาของทางร้าน วิธีนี้ช่วยเพิ่มยอดขายให้กับร้านได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นเหมือนการย้ำเตือนให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
4. เลือกเครื่องมือทำ Email Marketing ที่ใช่
ขอบอกว่าเครื่องมือทำการตลาดผ่านอีเมลนั้นมีเยอะมาก แล้วเครื่องมือเหล่านี้ก็ช่วยให้คุณส่งอีเมลและติดตามแคมเปญได้อย่างง่ายดาย
อย่าง HubSpot หรือ MailChimp โปรแกรม Email Marketing ที่ว่านี้ก็ช่วยคุณสร้างอีเมลจากเทมเพลตที่มี ส่งไปยังลิสต์อีเมลลูกค้า และยังติดตามกับวิเคราะห์ข้อมูลได้หลายอย่าง เช่น
- Open Rate – อัตราการเปิดอีเมล
- Click-through Rate – อัตราการคลิก
- Bounce Rate – อัตราส่วนอีเมลที่ส่งไม่ถึงลูกค้า
- Conversion Rate – สัดส่วนของการตอบสนองต่ออีเมล
เพราะฉะนั้นลองตั้งงบในการทำ Email Marketing ของร้านคุณ เปรียบเทียบคุณสมบัติของแต่ละเจ้า จากนั้นก็เลือกโปรแกรมที่เหมาะที่สุดมาใช้งานซะ
5. วางแผนการติดตามแคมเปญ Email Marketing
หลังจากที่ส่งอีเมลออกไปแล้ว คุณจะติดตามแคมเปญ Email Marketing ของคุณยังไง ?
คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือ คุณสามารถวัดผลอีเมลของคุณได้ง่าย ๆ ดังนี้ :-
- Open Rate – อัตราการเปิดอีเมล ดูว่าอีเมลที่คุณส่งไปนั้นมีลูกค้าเปิดอ่านกี่คนและคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจากเว็บไซต์ของ Campaign Monitor นั้นบอกว่าควรอยู่ที่ 15 – 25%
- Click-through Rate – ดูว่ามีลูกค้ากี่คนที่คลิกและมีส่วนร่วม คือ คลิกลิงค์ที่แนบไปในแคมเปญ Email Marketing ของคุณ โดยปกติแล้วอัตรการคลิกควรอยู่ที่ 2.5%
- Bounce Rate – ดูว่ามีอีเมลกี่ฉบับที่ส่งไม่สำเร็จ ซึ่งตาม Emma Email Marketing แล้ว Bounce Rate ควรอยู่ที่ 2% เท่านั้น
- Unsubscribe Rate – คือเปอร์เซ็นต์อัตราการยกเลิกสมาชิก หรือยกเลิกติดตามอีเมลจากทางร้าน โดยเปอร์เซ็นต์ที่ทาง Optimonster บอกว่าเหมาะสมนั้นควรต่ำกว่า 0.5%
- Conversion Rate – มีลูกค้ากี่คนที่คลิกอ่านและมีส่วนร่วมกับอีเมลหลังจากเปิดอ่าน เช่น กดซื้อสินค้า กดสั่งอาหาร แนะนำเพื่อน หรือกดไปดูหน้าเว็บไซต์อื่นของร้าน เป็นต้น ซึ่งทาง Campaign Monitor บอกว่า Conversion Rate ที่ดีนั้นอยู่ที่ 2.5%
ซึ่งเมื่อคุณติดตามและวิเคราะห์แคมเปญอีเมลจามนี้แล้ว คุณเองก็จะรู้ว่าควรปรับปรุงตรงไหนในการทำ Email Marketing บ้าง เช่น ถ้าอัตราการเปิดอีเมลของคุณต่ำ คุณก็จำเป็นต้องปรับปรุงในการเขียนหัวข้ออีเมลให้น่าเปิดอ่านหรือน่าคลิกมากยิ่งขึ้น