WhatsApp our business consultants: +601117227604

10 วิธีสุดสมาร์ท ทำร้านให้ปังง่าย ๆ ด้วย Social Media

10 วิธีทำร้านให้ปังด้วย Social Media

Social media คือหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้าง Brand Awareness ผ่านคอนเทนต์ เพราะในปัจจุบันใคร ๆ ก็ใช้ Facebook และ Instagram กันทั้งนั้น ซึ่งจากข้อมูลของ The Flight Digital ในปี 2020 ก็พบว่า 75% ของคนไทยใช้ Social Media นับเป็น 49% ของประชากรทั้งหมด มีผู้ใช้งาน Facebook กว่า 47 ล้านบัญชี และ Instagram 12 ล้านบัญชี

ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Social Media คือแพลตฟอร์มชั้นเยี่ยมในการเข้าถึงลูกค้าและช่วยให้ธุรกิจร้านค้าเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาแชร์ 10 วิธีสุดสมาร์ทที่ช่วยให้ร้านของคุณปัง ทำการตลาดอย่างได้ผล สร้างตัวตนให้ร้าน เพิ่มยอดผู้ติดตาม สร้าง Engagement และเพิ่มยอดขายได้ในที่สุด และวิธีที่ว่านี้ก็คือ . . .

1. Facebook Group

ภาพตัวอย่างการค้นหา Facebook Group

Facebook Group หรือ กลุ่ม Facebook คือช่องทางที่รวมกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน ความชอบคล้ายกัน มักจะก่อตั้งขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อาจจะเป็นกลุ่มคนทำร้านอาหาร, กลุ่มคนเปิดร้านขายของชำ, กลุ่มคนขายเสื้อผ้า, กลุ่มสำหรับ Food Delivery ฯลฯ

ในปัจจุบัน Facebook Group ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ผู้ประกอบการและเจ้าของร้านสามารถโปรโมทสินค้าและบริการได้แบบฟรี ๆ รู้อย่างนี้จะรอช้าอยู่ทำไม ? รีบเข้าร่วมกลุ่ม Facebook ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณแล้วฝากร้านเลย !

ตัวอย่าง: ถ้าคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้า ก็เข้าร่วมกลุ่มแนวค้าขาย

แล้วจะหา Facebook Group ยังไง?

ลองนึกถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น

  • อายุ
  • งานอดิเรก/ความสนใจ
  • โสด/แต่งงานแล้ว
  • วัยรุ่น
  • ฯลฯ

ตัวอย่าง: ถ้าคุณขายสินค้าเกี่ยวกับแม่และเด็ก ก็ให้ค้นหากลุ่มเกี่ยวกับ “แม่” และ “เด็ก” เชื่อสิว่ามีหลายกลุ่มเลือกเข้าร่วมแน่นอน 

เมื่อเข้าร่วมแล้วก็ต้องแน่ใจว่าแชร์สินค้าหรือโพสต์ตามกฎของกลุ่ม ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะโดนถอดแอดมินถอดออกจากกลุ่มได้ เนื่องจากบางกลุ่มไม่อนุญาตให้ขายของหรือให้ขายได้เฉพาะบางวัน/ใต้โพสต์ที่แอดมินอนุญาตเท่านั้น

2. ยิงแอด/โฆษณา

ตัวอย่างการทำ Facebook Ads สำหรับร้านค้าปลีกและร้านอาหาร

ภาพจากเฟสบุ๊คคาแรคเตอร์ สตูดิโอ – Characters Studio และเฟสบุ๊ค CHA BAR BKK

รู้ไหมว่าการยิงแอดโฆษณาบน Facebook และ Instagram คือวิธีที่ทำให้แบรนด์/ร้านของคุณเป็นที่รู้จักได้เร็วที่สุดและได้ผลที่สุด ?

อย่างการทำ Facebook Ads เองก็ช่วยร้านได้หลายอย่างด้วยกันดังนี้ :-

  • เพิ่มยอดฟอล/จำนวนผู้ติดตาม
  • สร้าง Brand Awareness 
  • เพิ่ม Engagement 
  • เพิ่มยอดวิววิดีโอ
  • เพิ่มจำนวนคลิกบนเว็บไซต์
  • เพิ่มคอนเวอร์ชั่น (Conversion)

เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าการทำโฆษณาบน Facebook เป็นการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกกลับมาหลายตัว และหลายร้านก็หันมาให้ความสำคัญกันมากในปัจจุบัน ดังนั้นหากคุณยังไม่เริ่ม ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว !

รันแอดโฆษณา Facebook/ไอจีแบบไหนได้บ้าง ?

คุณสามารถรันแอดได้หลายรูปแบบโฆษณาด้วยกัน เช่น รูปภาพ, วิดีโอ, สตอรี่, Messenger ฯลฯ และสามารถทำได้ทั้ง Facebook Ads และ Instagram Ads 

ถ้าไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่นี่ หรือหากไม่แน่ใจว่าต้องเลือกกลุ่มลูกค้าในการทำโฆษณายังไง คลิกที่นี่ได้เลย

หรือถ้าทำ Facebook Ads และโปรโมท IG อยู่แล้ว แต่คอนเวอร์ชั่นไม่ดี ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง?”

ดูสิว่าคู่แข่งของคุณทำยังไงกันบ้าง

ไปที่เพจ Facebook ของคู่แข่ง แล้วคลิกที่ “ข้อมูลและโฆษณา” บนแท็บซ้ายมือได้เลย แล้วคุณจะรู้หมดเลยว่าคู่แข่งรันแอดอะไรอยู่บ้าง เท่านี้ก็นำมาเป็นแนวทางและปรับกลยุทธ์ของร้านคุณได้แล้ว เจ๋งใช่ไหมล่ะ ?

3. Facebook Live

Choushoes - ตัวอย่างการไลฟ์ขายของบน Facebook เพื่อเพิ่มยอดขายออนไลน์ให้ร้าน

ภาพจากเฟสบุ๊ค Choushoes

เมื่อมีฐานลูกค้า แฟนเพจ และยอดผู้ติดตามแล้ว คราวนี้มาเริ่มขายของบน Facebook Live กันเลย !

ไม่ว่าจะไลฟ์สดขายเสื้อผ้า ขายต่างหู หรือขายสินค้าประเภทไหนก็ทำได้หมด และถ้าหากคุณลังเล เขิน หรือกลัวพูดผิดพูดถูกเวลาอยู่หน้ากล้อง เราขอแนะนำให้ลองซ้อมและฝึกพูดหน้ากล้องดูก่อน ลองอัดวิดีโอและให้เพื่อน ๆ หรือพนักงานในร้านช่วยดูว่าเป็นยังไง

หรือไม่เช่นนั้นก็ลองดูไลฟ์สดขายของของร้านอื่น ดูสิว่าพ่อค้าแม่ค้าหรือเพจเหล่านั้นขายกันยังไง สังเกตเทคนิคในการขายให้ดีแล้วก็ลอง Facebook Live ของร้านคุณเอง อย่าลืมแชร์วิดีโอไลฟ์สดตามกลุ่ม Facebook  ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายได้เห็น เป็นการเพิ่มยอดวิว และเพิ่มโอกาสในการขายในตัว

แล้วจะไลฟ์ขายของบน Facebook Live ยังไง ?

1) ติดป้ายสินค้าพร้อมชื่อและหลายเลขกำกับ โชว์สินค้าทีละอัน และแสดงให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานสินค้า เช่น เวลาไลฟ์สดขายเสื้อผ้า ก็จะสังเกตได้ว่าคนขายมักจะเปลี่ยนชุดเสมอ นั่นก็เพื่อให้ลูกค้านึกภาพตามและมองออกว่าจะเป็นยังไงเมื่อลูกค้าเป็นคนใส่เอง

2) อธิบายขั้นตอนในการซื้อให้ชัดเจน สื่อสารกับลูกค้า ให้ลูกค้าคอมเมนต์และระบุสินค้าที่ต้องการ แน่นอนว่าเรามักจะคุ้นเคยกันดีกับคำว่า “CF”, “F” หรือสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศัพท์ไลฟ์สดขายของบน Facebook Live ได้ที่นี่

4. IG Story

ตัวอย่างการโพสต์ IG Story จาก Colourpop_Multy Beauty และ CHA BAR BKK

ภาพ IG Story จาก ColourPop Cosmetics, Multy Beauty และ CHA BAR BKK

โพสต์คอนเทนต์แนวธรรมชาติ เป็นกันเอง และเป็นภาพจากการใช้งานจริงใน IG Story ของร้าน เพราะสตอรี่ไอจีจะอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมง จึงควรโพสต์แนวแคชชวล ให้ดูเข้าถึงง่าย และไม่ควรโพสต์ขายสินค้าเพียงอย่างเดียว

ลองใช้ฟีเจอร์ที่มากับ IG Story อย่างโพล, คำถาม, เคาท์ดาวน์, GIF, ฯลฯ เพื่อสร้าง Engagement และโต้ตอบกับผู้ติดตามของร้าน

โพสต์วิดีโอ เช่น วิธีใช้งานสินค้า, ลองชุด, เมนูอาหาร หรือวิดีโอเบื้องหลังการถ่ายภาพและการทำอาหาร หากอยากเห็นภาพมากขึ้น สามารถดูไอเดียเพิ่มเติมได้จาก IG Colourpop สำหรับร้านอาหารสามารถดูได้ที่ IG ร้าน CHA BAR BKK

ไม่แน่ใจว่าจะโพสต์อะไรใน IG Story?

สามารถดูไอเดียในการโพสต์บน Social Media ได้ที่นี่ รับรองว่าคุณจะได้ไอเดียวิดีโอและคอนเทนต์อื่น ๆ อีกเพียบ !

5. แฮชแท็ก

ตัวอย่างการใส่แฮชแท็กสินค้าบน IG

ภาพตัวอย่างผลการค้นหาแฮชแท็กบน Instagram

ผู้ใช้งาน IG สามารถติดตามแฮชแท็กบน Instagram ได้แล้ว

นั่นหมายความว่า โพสต์ของคุณจะปรากฏบนหน้าฟีดของพวกเขาแม้ผู้ใช้งานเหล่านั้นจะไม่ได้ติดตาม IG ของร้านคุณก็ตาม วิธีนี้ช่วยให้ร้านของคุณปรากฏในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในวงกว้างขึ้นและสามารถเพิ่มผู้ติดตามให้ IG ร้านของคุณได้โดยปริยาย

ต้องเลือกแฮชแท็กแบบไหนมาใช้ในโพสต์ Instagram?

เราขอแนะนำให้ใช้แฮชแท็กในโพสต์ IG ร้าน ดังนี้

  • เลือกแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ/ร้าน
  • ลองนึกดูว่าถ้าคุณเป็นลูกค้าเอง คุณจะค้นหาแฮชแท็กไหนบ้างบน IG
  • ใส่แฮชแท็กที่คู่แข่ง Influencer และคนดังใช้กัน

เช่น หากคุณเปิดร้านขายเสื้อผ้า ก็อาจจะใส่แฮชแท็ก #เดรสแฟชั่น #เดรสน่ารัก #เดรสเกาหลี หรือถ้าเปิดร้านอาหารก็อาจจะใช้แฮชแท็ก #คาเฟ่ #อาหารไทย #อาหารเช้า หรือ #อาหารเพื่อสุขภาพ 

ทั้งนี้จากข้อมูลของ TrackMaven นั้นพบว่า เราควรใส่มากที่สุดเพียง 9 แฮชแท็ก แม้จะใส่ได้เยอะถึง 30 แฮชแท็กก็ตาม 

เคล็ดลับ: เลือกแฮชแท็กที่มีการใช้งานอย่างน้อย 10,000 – 50,000 ครั้ง ไม่ควรเลือกแฮชแท็กที่ใช้มากกว่า 1 ล้านครั้งเพราะจะทำให้โอกาสที่ลูกค้าจะเห็นโพสต์ลดน้อยลงเนื่องจากมีการแข่งขันสูง

6. Location Tag/เช็คอิน

ตัวอย่างการเช็คอินหรือแท็ก Location บน Instagram

ภาพตัวอย่างผลการค้นหาตำแหน่ง (Location)/การเช็คอินบน Instgram

Location Tag การแท็กโลเคชั่น หรือว่าการเช็คอิน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้ผู้คนค้นพบร้านของคุณง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าสินค้าของคุณถูกใช้งานในสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ดัง ๆ อย่างร้านอาหาร ทะเล โรงแรม ฯลฯ อย่าลืมแท็ก/เช็คอินสถานที่เหล่านั้น จะได้เพิ่มโอกาสให้โพสต์ของคุณปรากฏบนฟีดของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเมื่อพวกเขาค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ดัง ๆ เหล่านั้นบน Social Media

เช็คอินยังไง ?

เช่น ถ้าทางร้านโพสต์ที่ถ่ายในกระบี่ ก็ควรเช็คอิน เพราะถ้าหากลูกค้าค้นหาสถานที่ในกระบี่บน Instagram ร้านของคุณก็อาจจะแสดงผลได้

7. Influencer Marketing

ISSUE Thailand ตัวอย่างการทำ Influencer Marketing บน Social Media

ภาพจากไอจี ISSUE Thailand

หากคุณมีงบประมาณ ลองหา Influencer มาโปรโมทสินค้าของคุณดู เพราะ Influencer คือคนที่มียอดผู้ติดตามเยอะ วิธีนี้จึงช่วยให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยโน้มน้าวให้ผู้คนชื่นชอบสินค้าของคุณได้เป็นอย่างดี และเราเรียกวิธีนี้ว่า Influencer Marketing คือ การทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ 

เคล็ดลับในการเลือก Influencer มีอะไรบ้าง ?

  • เลือก Influencer ที่สามารถสื่อถึงตัวตนแบรนด์ได้เป็นอย่างดี
  • เลือก Influencer ที่มีคนติดตามเยอะและตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์
  • มียอดไลค์ ยอดวิว คอมเมนต์ และเรต Engagement ที่สอดคล้องกับจำนวนผู้ติดตาม
  • มีวิธีนำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ก่อนจะตกลงร่วมงานกับ Influencer ควรมีข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มผู้ติดตาม Influencer ด้วย เพื่อเช็คให้แน่ใจว่าสินค้าของคุณจะได้รับการโปรโมทตรงกับกลุ่มเป้าหมาย แนะนำให้ดูที่เพศ ตำแหน่งที่อยู่ และอายุ

8. ความถี่ในการโพสต์

ภาพแสดงจำนวนคลิกต่อโพสต์ Facebook

ภาพจาก Hubspot

สำหรับความถี่ในการโพสต์บน Facebook นั้น ข้อมูลจาก HubSpot ระบุว่าขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ติดตามของเพจร้าน เช่น

  • เพจที่มีผู้ติดตาม 10,000 คน มักจะโพสต์บ่อย ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนคลิกต่อโพสต์
  • เพจที่มีผู้ติดตาม 10,000 คนขึ้นไป มักจะมีจำนวนคลิกต่อโพสต์เยอะอย่างเห็นได้ชัดเมื่อโพสต์ 31 – 60 ครั้งต่อเดือน
  • เพจที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า 10,000 คนและโพสต์มากกว่า 61 ครั้งต่อเดือน มักจะมีจำนวนคลิกต่อโพสต์น้อยกว่าเพจที่โพสต์ไม่เกิน 5 ครั้งต่อเดือนถึง 60%

หมายความว่าเพจที่มีผู้ติดตามน้อยกว่า 10,000 คน เมื่อยิ่งโพสต์เยอะ ก็ยิ่งมีการแข่งขันสูง ส่งผลให้โอกาสที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะมองเห็นโพสต์ของคุณบนหน้า News Feed น้อยลง

ในส่วนของ Instagram Neil Patel กูรูด้านการตลาดออนไลน์บอกว่า ความสม่ำเสมอคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

เพราะจำนวนโพสต์ไม่ได้ส่งผลต่อ Engagement ของ Instagram แต่อย่างใด (จนกว่าคุณจะเปลี่ยนความถี่ในการโพสต์)

เช่น ถ้าคุณเคยโพสต์วันละหลาย ๆ ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาโพสต์แค่ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์ เรต Engagement ก็จะลดลง นั่นก็เพราะว่าความถี่ที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram ก็คือ ความสม่ำเสมอ

9. วันและเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์

ตัวอย่างการดูข้อมูลเชิงลึกบนเพจ Facebook

น่าเสียดายท่ีไม่มีวันหรือเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Social Media 

เพราะผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่อยู่และธุรกิจของเรา ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองด้วยตัวคุณเอง

ลองโพสต์ทุกวันสัก 2 อาทิตย์ จะได้รู้ว่าวันและช่วงเวลาไหนดีที่สุดในการโพสต์ โดยสามารถดูข้อมูลเชิงลึก (Insight) เกี่ยวกับโพสต์ Engagement, การเข้าถึง (Reach) และไลค์ได้จากเพจร้าน

ทั้งนี้ตามข้อมูลของ Hubspot นั้นระบุว่า เวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์คือ

  • Facebook – วันจันทร์ – ศุกร์ เวลาบ่าย 1 – 4 โมง เสาร์-อาทิตย์ เวลาเที่ยง – บ่ายโมง 
  • Instagram – วันจันทร์ – ศุกร์ เวลาบ่ายโมงและ 5 โมงเย็น

แต่เราขอย้ำอีกทีว่า การใช้ข้อมูลเชิงลึก (Insight) จากเพจ Facebook และ Instagram ของร้านคือคำตอบที่ดีที่สุด

10. ข้อมูลเชิงลึก (Insight)

ตัวอย่างการดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้คนบนเพจ Facebook

ไหนลองดูซิว่าโพสต์แต่ละโพสต์เป็นยังไงบ้าง มี Engagement ยอดไลค์ หรือว่า Reach เป็นยังไง ไปที่ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ของเพจ Facebook และ IG ร้านของคุณได้เลย

เพราะข้อมูลเชิงลึกสามารถบอกเกี่ยวกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณได้เป็นอย่างดีทั้งข้อมูลประชากร ความสนใจ และงานอดิเรก

นอกจากนี้คุณยังดูได้อีกว่าโปรไฟล์ธุรกิจของคุณเป็นยังไงบ้าง โพสต์มีการตอบรับดีหรือไม่ โพสต์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดมีโพสต์ไหนบ้าง หรือแม้กระทั่งวันไหนและเวลาใดดีที่สุดในการโพสต์ ซึ่งคุณสสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้วางแผนการทำคอนเทนต์บน Social Media ให้สอดคล้องกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

คราวนี้ก็ถึงตาคุณแล้ว !

เราหวังว่าเคล็ดลับเหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้าง Brand Awareness และขับเคลื่อนร้านให้เติบโตด้วย Facebook หรือ Instagram ได้ง่ายขึ้น

หากมีเคล็ดลับดี ๆ เพิ่มเติม อย่าลืมคอมเมนต์และแชร์กับเราใต้โพสต์ จะได้ทำร้านให้ปังไปพร้อมกันกับสโตร์ฮับของเรา !

CTA - ระบบ POS สโตร์ฮับ โปรแกรมจัดการร้านค้าปลีกและร้านอาหาร

Share this Post

Hey there! Please enter your store name.

.storehubhq.com